ศาลรธน.คัท เฟดไม่คัท / 1,355-1,370

มุมมองตลาดหุ้นวันนี้

  • SET ปรับตัวลงต่อ: รับแรงกดดันจาก 1) ประเด็นความกังวลในภาพการเมืองภายใน หลังวานนี้ ศาลรธน. มีคำตัดสินว่าการหาเสียงของพรรคก้าวไกลที่มีการส่งเสริมการแก้ไขมาตรา 112 เป็นการกระทำของพรรคที่มีแนวโน้มกัดกร่อนและบ่อนทำลายระบอบการปกครองประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข และมีคำสั่งให้หยุดการกระทำดังกล่าว สร้างความกังวลให้นักลงทุนเนื่องจากคำตัดสินดังกล่าวสามารถนำไปสู่การเสนอยุบพรรคก้าวไกลผ่านปปช.ได้ เนื่องจากการกระทำดังกล่าวผิดวินัยร้ายแรงของนักการเมือง ซึ่งอาจทำให้เกิดความขัดแย้ง ภายในอีกครั้ง เนื่องจากพรรคก้าวไกลได้รับคะแนนเสียงจากประชาชนเป็นอันดับ 1 ในการเลือกตั้งที่ผ่านมาจึงอาจต้องจับตาใกล้ชิด 2) FED ตัดสินใจคงอัตราดอกเบี้ยที่ระดับ 5.5% พร้อมให้สัญญาณว่าเฟดยังไม่มีแผนลดอัตราดอกเบี้ย เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อยังสูงกว่าเป้าหมายที่ 2% และปธ.เฟดยังกล่าวเพิ่มว่า FOMC อาจไม่สามารถชี้ชัดได้ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมี.ค. แม้การคงดอกเบี้ยดังกล่าวจะเป็นไปตามที่ตลาดคาด แต่มองจะสร้างแรงกดดันให้ค่าเงินในเอเชียรวมถึงไทย เนื่องจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยแท้จริงในปัจจุบันระหว่างไทยและสหรัฐค่อนข้างแคบนั้น คือผลตอบแทนการลงทุนของสองประเทศมีความใกล้เคียงกัน Dollar Index กลับมาปรับตัวขึ้นเล็กน้อย มีแนวโน้มกดดันค่าเงินบาทให้พลิกมาอิงทางอ่อนค่า กดดัน Fund flow 3) ราคาน้ำมันดิบ WTI ปรับตัวลงหลุดระดับ 77 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ท่ามกลางความกังวลการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน แม้วานนี้รอยเตอร์เผยผลผลิตของกลุ่ม OPEC ในเดือนม.ค.ลดลงจากเดือนก่อน 410,000 บาร์เรลต่อวัน ยังกดดันหุ้นพลังงานต้นน้ำปัจจัยที่น่าติดตามต่อได้แก่ ผลการประชุม BOE การประชุม OPEC+ และตัวเลข Caixin Manufacturing PMI เพื่อบ่งชี้ทิศทางการฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน
  • กลยุทธ์การลงทุน : 1) Defensive: ADVANC, BCH, BDMS, BH, PR9, TTW 2) Short: HANA, KCE, KKP, PTTGC 3) เก็งหุ้นรับงบดี + And Dividend Yield สูง: INTUCH, ORI, WHA, WHAUP 3) Selective: SABINA, SISB

ปัจจัยบวก

  • บวท.เผยช่วงตรุษจีนเป็นช่วงที่มีการเดินทางท่องเที่ยวทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ โดยระหว่างวันที่ 8-14 ก.พ. 67 คาดการณ์ว่าจะมีเที่ยวบินรวม 16,766 เที่ยวบินเฉลี่ย 2,395 ต่อวัน เพิ่มขึ้นจากปี 66 ประมาณ 17%
  • ปธ. ECB เผยว่าผู้กำหนดนุโยบายของECB มีความเห็นพ้องกันกว้างๆว่า หากมีตัวเลือกในการขึ้นหรือลดอัตราดอกเบี้ย ความเคลื่อนไหวครั้งต่อไปของ ECB จะเป็นการลดอัตราดอกเบี้ย
  • WHA และ รองนายกฯ มองความขัดแย้งจีน-สหรัฐหนุนลงทุนไทย โดยชี้จีนและใต้หวันเพิ่มสัดส่วนการลงทุนในไทย

ปัจจัยลบ

  • ธปท. เผยว่าอาจมีการลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 66 ลงจากเดิม 2.4% แต่ยังไม่ระบุว่าจะต่ำกว่าระดับ 2% หรือไม่ สอดคล้องกับ สศค. ที่ลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 66 เหลือ 1.8% ก่อนหน้านี้
  • สศอ.เผยดัชนี MPI เดือนธ.ค.66 ที่ 87.76 ซึ่ง -6.27% y-y แย่กว่าตลาดคาดที่ -3.00%y-y และแย่ลงจาก-4.71%y-y ในเดือนพ.ย.66 โดยอุตสาหกรรมสำคัญที่ส่งผลลบต่อดัชนี MPI ได้แก่ รถบรรทุกปิคอัพรถยนต์นั่งขนาดเล็ก และเครื่องยนต์ดีเซล น้ำตาล และชิ้นส่วน อิเล็กทรอนิกส์
  • นายโคอิจิ ฟูจิซิโระ นักเศรษฐศาสตร์จากสถาบันวิจัยไดอิจิไลฟ์ มองว่านักลงทุนคาดดอกเบี้ยจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ย และมอง BOJ กำลังเตรียมความพร้อมจากแนวทางการใช้นโยบายผ่อนคลายพิเศษ
  • รัฐมนตริพาณิชย์สหรัฐส่งเสียงเตือน กำลังพิจารณาเก็บภาษีรถยนต์จีนเพิ่ม กดดันอุตสาหกรรมยานยนต์ ชิ้นส่วนอิเล็กฯ และยางพารา

PICKS OF THE DAY

BCH BUY

  • เป้าหมาย 23.50 / 24.00 แนวรับ 22.00
  • ปรับเพิ่มโควต้าประกันสังคม ปี 67: BCH มีความแข็งแกร่งทางด้านรายได้จาก ผู้ประกันสังคมโดยคิดเป็น 33% ของรายได้รวม และในปี 2567 จะมีการปรับโควต้าผู้ป่วยประกันสังคมเพิ่มขึ้น 20% เป็นจำนวน 1.85 ล้านคน คาดว่ารายได้ผู้ป่วยประกันสังคมและรายได้จากผู้ป่วยเงินสดจะเพิ่มขึ้นกว่า 10-13% y-y และการอนุมัติให้เบิกค่า Sleep test จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยบวกต่อ BCH คาดว่ากำไรในปี 2567 จะปรับเพิ่มขึ้น 4-5% จากปกติ
  • หุ้น Defensive น่าสนใจ: BCH เป็นอีกหนึ่งหุ้น Defensive ที่น่าสนใจ ในช่วงที่ตลาดมีการผันผวนปรับตัวลง โดยมี beta เพียง 0.64 ทำให้ราคามีความผันผวนน้อยกว่าตลาด อีกทั้งผลประกอบ การในปี 2567 คาดว่ารายได้จะมีความแข็งแกร่ง และมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีในระยะยาว ทั้งเป้าหมายการขยาย capacity และการเพิ่มประสิทธิภาพการรักษาของบริษัท

ORI  BUY

  • เป้าหมาย 8.50 / 8.80 แนวรับ 8.00
  • 4Q66 ยังมี Backlog โอนหนุนกำไร: ORI ยังมี Backlog โครงการใหญ่อย่าง Park origin-ทองหล่อ และ Park origin-จุฬา 3 ย่าน ที่ยังสามารถเร่งโอนในช่วง 4Q66 แม้เราคาดว่ากำไรในไตรมาสสุดท้ายอาจอ่อนตัว q-q แต่มองว่า กำไรสุทธิทั้งปี 66 จะยังทรงตัว y-y ทำให้คาดว่ายังสามารถจ่ายปันผลได้ที่ 0.71 บาท ใกล้เคียงกับปีก่อน
  • Div. yield สูงสุดในกลุ่ม: ด้วยในช่วงครึ่งปีแรกที่จ่ายปันผลออกมาน้อยที่ 0.16 บาท ทำให้มองว่าช่วงครึ่งปีหลังจะจ่ายอีก 0.55 บาท คิดเป็น Div. yield ที่จะได้จากผลประกอบการ 2H66 อีก 6.7% สูงที่สุดหากเทียบกับกลุ่มในช่วงที่จ่ายในรอบครึ่งปีหลังจะมี yield อยู่ที่ราว 4.5-5.5% หากรวมทั้งปี ORI จะให้ Div. yield สูงถึง 8.2% ยังสูงกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี ย้อนหลังของตัวเองที่ 5.6%
  BUY 

 
 
- Advertisement -