บล.บัวหลวง: 

JMT Network Services (JMT TB /JMT.BK)

JMT – ธุรกิจบริหารหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ยังคงแข็งแกร่ง

ราคาหุ้น JMT ปรับตัวลดลง 58% ตั้งแต่วันที่ 5 ต.ค. 2566 แต่เราคาดว่าธุรกิจบริหารหนี้ที่ไม่มีหลักประกันจะเติบโตต่อเนื่องในปี 2567 และเรามองว่าการดำเนินงานของธุรกิจบริหารหนี้ที่มีหลักประกันที่ฟื้นตัวค่อนข้างช้าได้สะท้อนไปในราคาแล้ว ปัจจุบันมูลค่าหุ้นปรับตัวลงอย่างมาก ดังนั้นจึงเป็นเวลาในการเข้าซื้อ

คาดกำไรไตรมาส 4/66 เพิ่มขึ้น YoY และ QoQ

เราคาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/66 ที่ 534 ล้านบาท (ก่อนหน้าเราคาดที่ 570 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 9% YoY และ 15% QoQ เราคาดจำนวนการเก็บเงินสดในไตรมาสนี้อยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท (โดยอิงจากอัตราส่วนการเก็บเงินสดขั้นต่ำต่ออัตราส่วนหนี้ของ JMT ในช่วงไตรมาส 1/61-3/66 ที่ 1.4%) เพิ่มขึ้น 7% YoY และ 8% QoQ ได้แรงหนุนจากการบริหารหนี้ที่เพิ่มขึ้น เราคาดว่าหนี้จะเติบโต 59% YoY และ 4% QoQ ในไตรมาส 4/66 เราคาดรายได้อยู่ที่ 1.3 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% YoY และ 2% QoQ เราคาดอัตรากำไรขั้นต้นในไตรมาส 4/66 อยู่ที่ 66.9% เพิ่มขึ้น 198bps YoY (การประหยัดต่อขนาด) แต่ลดลง 314bps QoQ (ต้นทุนบริการที่สูงขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล) เราคาดส่วนแบ่งรายได้จาก JK AMC อยู่ที่ 115 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 84% YoY (ทรงตัว QoQ)

ธุรกิจบริหารหนี้ที่ไม่มีหลักประกันยังคงแข็งแกร่ง แต่ธุรกิจบริหารหนี้ที่มีหลักประกันฟื้นตัวช้า

เราคาดธุรกิจบริหารหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของ JMT จะยังคงแข็งแกร่งต่อเนื่องไปจนถึงปี 2567 หนุนโดยการบริหารหนี้ที่เพิ่มขึ้น JMT ซื้อหนี้ใหม่จำนวน 6.3 พันล้านบาทใน 9 เดือนแรกของปี 2566 (เพิ่มขึ้น 278% YoY) บริษัทเริ่มเก็บเงินสดจากหนี้ใหม่ในไตรมาส 3/66 มูลค่าหนี้เสียที่ตราไว้ของบริษัทอยู่ที่ 4 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือนก.ย. 2566 เพิ่มขึ้น 53% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน ในทางตรงกันข้าม ธุรกิจบริหารหนี้ที่มีหลักประกันของบริษัทคาดว่าจะฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในปี 2567 เนื่องจากสภาพแวดล้อมที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง ซึ่งธนาคารได้กำหนดเกณฑ์การคัดกรองที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับลูกค้า ลูกค้าหนี้ที่มีหลักประกันของ JMT พบว่าการรีไฟแนนซ์กับธนาคารเป็นเรื่องยากลำบาก ส่งผลให้การชำระหนี้ล่าช้า (แต่ยังคงชำระเงินให้กับ JMT ทุกเดือน)

เราปรับลดประมาณการกำไรลง 3% ในปี 2566 และ 7% ในปี 2567

เราปรับลดกำไรสุทธิปี 2566 ลง 3% มาอยู่ที่ 2.0 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 15% YoY) เนื่องจากเราปรับลดประมาณการการเก็บเงินสดลง 7% และเราปรับเพิ่มอัตราการตั้งสำรองขึ้นจาก 1.2% มาอยู่ที่ 1.6% (โดยเราปรับลดคาดการณ์การฟื้นตัวของธุรกิจบริหารหนี้ที่มีหลักประกัน) นอกจากนี้เรายังปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2567 ลง 7% มาอยู่ที่ 2.3 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 15% YoY)

เมื่อมองไปยังไตรมาส 1/67 เราคาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 502 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% YoY (การบริหารหนี้ทีเพิ่มขึ้น) แต่ลดลง 6% QoQ (การตั้งสำรองที่เพิ่มขึ้นตามปัจจัยฤดูกาล) เราคาดว่าหนี้จะอยู่ที่ 4.32 แสนล้านบาท ณ สิ้นเดือน มี.ค. 2567 เพิ่มขึ้น 53% YoY และ 4% QoQ

แนวโน้มการเติบโตที่ซะลอตัวสะท้อนไปในราคาแล้ว

ราคาหุ้นที่ปรับตัวลดลง 58% ตั้งแต่วันที่ 5 ต.ค. 2566 ปัจจุบัน PER ปี 2567 ของ JMT อยู่ที่ 13.0 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในรอบ 10 ปีอยู่ 1.6 ส่วนเบี่ยงเบนมาตรฐาน) และเราคาด EPS CAGR ปี 2567-2568 อยู่ที่ 15% ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วน PEG ที่ 0.9 เท่า (ต่ำกว่าอัตราส่วน PEG เฉลี่ยปี 2562-2565 ของ JMT ที่ 1.2 เท่าอยู่อย่างมาก) ซึ่งสอดคล้องกับอัตราส่วนเฉลี่ยสำหรับกลุ่มการเงินรายย่อยที่เราให้คำแนะนำที่ 1.0 เท่า ราคาเป้าหมายใหม่ ณ สิ้นปี 2567 ของเราอยู่ที่ 25 บาท

- Advertisement -