บล.เคจีไอ (ประเทศไทย):
Bank Sector: กำลังหาจุดต่ำสุดบนความผันผวนเศรษฐกิจ
Event
สรุปผลประกอบการ 4Q66 และอัพเดตแนวโน้ม
Impact
สรุปผลประกอบการ 4Q66 และ ปี 25662
โมเมนตัมการเติบโตของกำไรธนาคารต่าง ๆ อ่อนแอลง เนื่องจากรายได้จากธุรกิจหลักลดลง และต้นทุนในการจัดการคุณภาพสินทรัพย์สูงขึ้นใน 4Q66 โดยสรุปแล้ว กำไรสุทธิลดลง 14% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 24% YoY ใน 4Q66 ในขณะที่กำไรเต็มปีเพิ่มขึ้น 16.5% ทั้งนี้ กำไรจากธุรกิจหลัก (ไม่รวมกำไร/ขาดทุน FVTPL และคชจ.สำรองฯ (credit cost) ลดลง 3% QoQ แต่เพิ่มขึ้น 15% YoY ใน 4Q66 และเพิ่มขึ้น 15% ในปี 2566 โดยผลประกอบการของ SCB ฟื้นตัวขึ้นจาก NIM ที่พุ่งสูง และ credit cost ที่ลดลงจากระดับที่สูงเกินไปในไตรมาสก่อนหน้า ในขณะที่กำไรของ TTB ทรงตัวเพราะมีผลประโยชน์ทางภาษี (tax shield) มาช่วยชดเชย credit cost ส่วน BBL จงใจลดกำไรลงด้วยการบันทึกค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานพิเศษ อย่างไรก็ตาม กำไรของ KTB KBANK และ KKP โตลดลงเพราะ credit cost เพิ่มขึ้นอย่างมาก (KTB), ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานเพิ่มขึ้นอย่างมาก (KBANK) และ มีค่าใช้จ่ายพิเศษสำหรับแก้หนี้ (KKP)
GDP ที่อ่อนแอลงเพิ่มแรงกดดันต่อรายได้ และคุณภาพสินทรัพย์
โมเมนตัมการเติบโตของ GDP ที่อ่อนแอลงในปี 2566 สะท้อนมาที่สินเชื่อชะลอตัวโดยเติบโตเป็นศูนย์ในปี 2566 ค่าธรรมเนียมหลักลดลง รวมถึง credit cost ที่สูงขึ้นเพื่อจัดการตัดหนี้ศูนย์ และการขายหนี้เพื่อทำให้ตัวเลข NPL ไม่ให้สูงขึ้น ความเสี่ยงของ NPL ยังคงมาจากสินเชื่อ SME และสินเชื่อผู้บริโภคยังเป็นแหล่งสำคัญที่ทำให้เกิดความเสี่ยงของ NPL ในขณะเดียวกัน ความเสี่ยงแบบเฉพาะกลุ่ม NPL จาก ITD ทำให้เกิดความเสี่ยง NPL เป็นพิเศษขึ้นมากับ KBANK และ KTB
แนวโน้มปี 2567 – ธนาคารต่าง ๆ มองบวกมากขึ้นกับแนวโน้มการเติบโตในปี 2567
เป้าหมายทางการเงินปี 2567 ของธนาคารต่าง ๆ ชี้ว่าโมเมนตัมการเติบโตกำลังเร่งตัวขึ้นจาก NIM ที่ทรงตัว, credit cost ที่ลดลง, และอัตราการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมที่ฟื้นตัวขึ้น โดยอิงจากสมมติฐานว่า GDP จะโตในอัตราเร่งที่ 3% และไม่มีสินเชื่อธุรกิจขนาดใหญ่รายใดที่ผิดนัดชำระหนี้ ทั้งนี้ ในส่วนของ SCB และ KBANK นั้น NIM ที่ทรงตัวจะเป็นเพราะมีการปรับอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จากลูกค้าที่คิดดอกเบี้ยคงที่มาเป็นลอยตัวมากขึ้น บวกกับสินเชื่อใหม่มุ่งไปที่กลุ่มที่ให้ yield สูงขึ้น ในขณะเดียวกัน credit cost ของ SCB/KBANK จะลดลง ของ TTB น่าจะทรงตัว ในขณะที่ credit cost ของ KKP จะยังสูง และจะยังมีผลขาดทุนจากสินเชื่อ HP อยู่ในระดับสูง ดังนั้นการเติบโตของธนาคารแต่ละแห่งจะขึ้นอยู่กับการจัดการภายใน เพื่อรับความผันผวนของคุณภาพหนี้ลูกค้า ซึ่งเชื่อว่า BBL จะสามารถจัดการได้ดีสุด
Risks
NPLs เพิ่มขึ้น และตั้งสำรองเพิ่มขึ้น, รายได้ค่าธรรมเนียมลดลง.