KS Daily View 07.02.2024 >>> ดูสัญญาณ กนง. ลดดอกเบี้ย หลังปรับลด GDP คาด SET แกว่งตัวในกรอบ 1,390-1,404 จุด หุ้นแนะนำวันนี้ PTTEP, ERW
สรุปภาวะตลาดเมื่อวานนี้
ต่างประเทศ : ดัชนี DJIA +0.37% S&P500 +0.23% NASDAQ +0.07%; Dollar index -0.27% เป็น 104.176 และค่าเงินบาทปิดที่ 35.56; ราคาน้ำมันดิบ Brent Futures +0.77% เป็น 78.59/bbl; ราคาทองคำ +0.6% เป็น 2035.89/ounce; US 10Y yield -8bps เป็น 4.08%
ในประเทศ: SET Index +13.030 จุด หรือ +0.94% ปิดที่ 1396.96 จุด หุ้นใน SET100 ที่ราคาเพิ่มขึ้นมากสุด ได้แก่ JMT (+6.07%), HMPRO (+5.83%), BEM (+4.83%), JMART (+4.73%) เป็นต้น ส่วนหุ้นที่ราคาลดลงต่ำสุด ได้แก่ BCH (-3.06%), CHG (-2.61%), MOSHI (-1.41%), SPRC (-1.16%) เป็นต้น
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:
คาดดัชนีแกว่งตัวในกรอบ 1,390-1,404 จุด ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปรับตัวขึ้นดีเกินคาด โดยได้ sentiment บวกจากตลาดหุ้นจีน/ฮ่องกงที่ปิดบวก 3-4% จากการเข้าแทรกแซงตลาดหุ้นจีนของรัฐบาล โดยเฉพาะการจำกัดการ Short sell ทำให้ตลาดมีการเก็งกำไรบนความคาดหวังว่าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องของไทยจะออกมาตรการในลักษณะคล้ายกัน สำหรับประเด็นที่ต้องติดตามในวันนี้ได้แก่ การประชุม กนง. ซึ่งอาจมีการส่งสัญญาณการลดดอกเบี้ยหลังปรับลดตัวเลข GDP และการหารือทวิภาคีระหว่างนายกรัฐมนตรีของไทยและกัมพูชาเพื่อเจรจาพื้นที่ทับซ้อน “ไทย-กัมพูชา” เพื่อการลงทุนด้านปิโตรเลียม
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1.) สำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจรายงานว่า บอร์ด ตลท. จะมีการประชุมนัดสำคัญวันที่ 12 ก.พ.นี้ เพื่อรับทราบผลการศึกษา กรณี Program Trading ทั้ง High-Frequency Trading (HFT) และ Robot Trade จนไปถึงการ Short sell จาก “โอลิเวอร์ ไวแมน” ที่ปรึกษาและผู้เชี่ยวชาญจากต่างประเทศ ทั้งนี้ในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมา กลต. ได้เคยขอให้ ตลท. พิจารณาความเหมาะสมในการใช้มาตรการ Uptick Rule คือกำหนดราคาทำชอร์ตเซลด้วยราคาสูงกว่าราคาครั้งสุดท้าย เพื่อไม่ให้เกิดการดัมพ์ราคา ทาง ตลท. มองว่ายังไม่ถึงเวลาที่จะใช้มาตรการดังกล่าว โดยมองว่าตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงตามปัจจัยพื้นฐาน ยังไม่พบความผิดปกติที่มีนัยสำคัญ
2.) ตลาดหุ้นจีน/ฮ่องกงที่ปิดบวก 3-4% บนมาตรการควบคุม Short Sell ของทางการ การปรับลดระดับ margin call และจุดบังคับขายให้ยืดหยุ่นเพื่อลดแรงขาย รวมถึงให้กองทุนของรัฐบาลจีนในต่างประเทศเข้ามาพยุงหุ้น โดยพบว่านักลงทุนต่างชาติมีสถานะซื้อสุทธิหุ้นจีนกว่า US$1.7bn วานนี้ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในปีนี้
3.) ติดตามการเจรจาทวิภาคีพื้นที่ทับซ้อน “ไทย-กัมพูชา” วันนี้ โดยสำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจรายงานว่าไทยจะมีการตั้งประธานร่วมด้านเทคนิคคนใหม่เป็นตัวแทนในการเจรจา โดยกระทรวงพลังงานอาจเสนอเจรจาแยกระหว่างพื้นที่มีปัญหาเขตแดนทางทะเลกับพื้นที่พัฒนาร่วมทรัพยากรปิโตรเลียม ทั้งนี้ก๊าซจากแหล่งพื้นที่ทับซ้อน ทางทะเล ไทย-กัมพูชา มีปริมาณมาก ซึ่งจะมีมากกว่าหรือเท่ากับแหล่งเดิมในอ่าวไทยที่ไทยใช้มาแล้วกว่า 30 ปี คาดกันว่ามีมูลค่ากว่า 10 ล้านล้านบาท สามารถนำเข้าโรงแยกก๊าซไปทำปิโตรเคมีได้
4.) กระทรวงการท่องเที่ยวรายงานตัวเลขนักท่องเที่ยวระหว่าง 29 ม.ค. – 4 ก.พ. เติบโต 5.9% WoW อยู่ที่เฉลี่ย 1.1 แสนคน/วัน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวรวม YTD เป็น 3.5 ล้านคน (+43% YoY) หนุนโดยนักท่องเที่ยวจีนที่เร่งตัวขึ้นเป็น 60-70% ของระดับ Pre-COVID พร้อมกับนักท่องเที่ยวกลุ่ม Non-China ที่กลับมาระดับใกล้ Pre-COVID แล้ว
5.) เมื่อวันที่ 5 ก.พ. Dow Jones Newswires รายงานว่า Telenor จะรับรู้ผลขาดทุนจากการด้อยค่าจากเงินลงทุนใน TRUE จํานวน 760.3 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 27,000 ล้านบาทในงบการเงินปี 2566 ซึ่งจะประกาศในวันที่ 7 ก.พ. เนื่องจากต้นทุนการถือครองที่แท้จริงของ Telenor บนเงินลงทุนใน TRUE อยู่ที่ 8.15 บาท ต่ำกว่าราคาหุ้นของ TRUE ที่ทรุดตัวลงมาปิดที่ 5.05 บาท ณ สิ้นปี หัวหน้าฝ่าย IR ของ TRUE แจ้งว่าผลขาดทุนจากการด้อยค่าจะเกิดขึ้นในระดับของ Telenor จะไม่มีอะไรกระทบต่องบการเงินของ TRUE
6.) ตามที่ประกันสังคมขอปรับลดค่า RW จาก 12,000 บาทเป็น 10,000 บาท ของการรักษาปี 2565 ที่โรงพยาบาลเบิกย้อนหลังในช่วง ม.ค.-ก.พ. 2566 ที่จะมีผลให้ BCH และ CHG ต้องตั้งสำรองเพิ่มในไตรมาส 4/66 นั้นคิดเป็นไม่ถึง 1% ของประมาณการกำไรปี 2566 ในส่วนของปี 2566 ที่จะมาลงในปี 2567 นั้นผลกระทบยังไม่ชัดเจน โดยหากลอง run sensitivity analysis พบว่าหากลดค่า RW จาก 12,000 บาทเป็น 10,000 บาท จะกระทบกำไร BCH และ CHG ประมาณ 7-8% อย่างไรก็ตามจากแนวทางในอดีตประกันสังคมจะเพิ่มงบประมาณเพื่อแก้ปัญหาแทนที่จะลดค่า RW ดังนี้เรามองว่าเหตุการณ์ดังกล่าวจะเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งเดียวมากกว่า และยังไม่มีเอกสารจากประกันสังคมแจ้งปรับลดสำหรับปีงบประมาณ 2567
Theme การลงทุนสัปดาห์นี้
ปรับกรอบเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นไทยขึ้นเป็น 1,360-1,404 จุด (จาก 1,360-1,391 จุด) และมีแนวต้านถัดไปที่ 1,410 จุด จากตลาดมีการเก็งกำไรประเด็นเรื่องการควบคุมธุรกรรม Short sell หลังมีการแต่งตั้งประธานคนใหม่ “พิชัย ชุณหวชิร” รวมถึงการประชุม กนง. วันนี้ที่อาจมีการส่งสัญญาณผ่อนคลายนโยบายการเงินจากตัวเลขเศรษฐกิจที่ออกมาแย่ โดยมีปัจจัยอื่นๆที่ต้องติดตามได้แก่ ทิศทางเงินทุนต่างชาติ และผลประกอบการไตรมาส 4/66 ของบจ.ไทย ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญอื่นๆ ได้แก่ จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ดัชนี PMI ภาคบริการเดือนม.ค. ของจีน ญี่ปุ่น ยูโซนและอังกฤษ รวมถึงดัชนีราคาผู้บริโภคและดัชนีราคาผู้ผลิตเดือนม.ค. ของจีนเดือน ม.ค.
หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:
- PTTEP (ราคาพื้นฐาน 180 บาท) เก็งกำไรประเด็นการเจรจาพื้นที่ทับซ้อน “ไทย-กัมพูชา” เพื่อการลงทุนด้านปิโตรเลียมในวันนี้ ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ “Coming Home Strategy” ทำให้ PTTEP สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่นโดยมีความเสี่ยงของการเจาะเจอหลุมแห้งลดลง นายมนตรี ลาวัลย์ชัยกุล ประธาน เจ้าหน้าที่บริหารให้ข้อมูลกับทางสำนักข่าวกรุงเทพธุรกิจว่าพื้นที่ที่ PTTEP ได้รับสิทธิเป็นแปลงที่อยู่ล่างสุดของพื้นที่ทับซ้อน โดยสิทธิในการสำรวจและผลิตในพื้นที่ดังกล่าวได้หยุดนับเวลาไว้นับตั้งแต่มีการโต้แย้งของทั้ง 2 ประเทศ หากรัฐบาลไทยสามารถเจรจาได้สำเร็จ PTTEP ก็พร้อมที่จะเข้าไปดำเนินการตามนโยบายของภาครัฐ ด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่จะช่วย ลดขั้นตอนการขุดเจาะสำรวจได้ดี และเชื่อว่าหากเป็นพื้นที่ติดกับแหล่งเอราวัณจะสามารถลดระยะเวลาจาก ระดับ 6-7 ปี ลดลงมาเหลือ 2-3 ปี
- ERW (ราคาพื้นฐาน 5.92 บาท) เราคาดว่า ERW จะรายงานกำไรปกติไตรมาส 4/2566 ที่ 203 ลบ. เพิ่มขึ้น 37% QoQ แต่ลดลง 7% YoY สูงกว่ากำไรปกติไตรมาส 4/2562 ที่ 176 ลบ. อยู่ 16% คาด RevPar ของโรงแรม non-Hop Inn จะอยู่ที่ 2,656 บาท (+7% QoQ, +8% YoY) ในไตรมาส 4/66 ประกอบด้วย ADR ที่ 3,200 บาท (+6% QoQ, YoY) และ OCR ที่ 83% (+1 ppts QoQ, YoY) เราคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้มปี 2567 โดยประมาณการกำไรเติบโตที่ 9% YoY และอาจมี upside risk ต่อประมาณการกำไรปี 2567 ของเราจากการยกเว้นวีซ่าระหว่างไทยและจีน คาดกำไรไตรมาส 1/2567 ดีต่อเนื่อง
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันพุธติดตาม การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของไทย ตลาดคาดผลการประชุมจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.50% โดยประเด็นหลักสำคัญที่ต้องติดตามเพิ่มเติมคือ ตัวเลขการประมาณการทางเศรษฐกิจของไทยสำหรับปี 2566-67
- วันพฤหัสบดีฯ ติดตาม ตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index – CPI) ของจีนสำหรับเดือน ม.ค. โดยตัวเลขรายงานในเดือนก่อนหน้าที่ -0.3% YoY ต่อด้วยติดตามบันทึกการประชุมและตัวเลขเศรษฐกิจของยุโรปที่ ECB ใช้ในการประเมินและตัดสินใจในการทำนโยบายการเงิน (ECB economic bulletin)
- วันศุกร์ ติดตามตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (Consumer Confidence Index – CCI) ของไทยสำหรับเดือน ม.ค. โดยตัวเลขรายงานในเดือนก่อนหน้าที่ 62 จุด และติดตามตัวเลขดัชนีราคาผู้บริโภค (Consumer Price Index – CPI) ของเยอรมันสำหรับเดือน ม.ค. โดยตลาดคาดที่ +2.9% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 3.7% YoY