บล.บัวหลวง:

Bangkok Commercial Asset Management (BAM TB /BAM.BK)

BAM – ธุรกิจบริหารหนี้ที่มีหลักประกัน ยังคงชะลอตัว

เราคาดว่าธุรกิจบริหารหนี้ที่มีหลักประกันของ BAM จะฟื้นตัวช้า ดังนั้นผลประกอบการไตรมาส 4/66 มีแนวโน้มที่จะต่ำกว่าที่เราคาด ก่อนหน้าและต่ำกว่าที่ตลาดคาด (อีกครั้ง] เราจึงปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2566-67 (อีกครั้ง) และมีความเสี่ยงที่ตลาดจะมีการปรับลดประมาณการตามมา โดยเราชอบ JMT มากกว่า BAM 

คาดกำไรต่ำกว่าคาดอีกครั้งในไตรมาส 4/66

เราคาดกำไรสุทธิไตรมาส 4/66 ที่ 480 ล้านบาท ซึ่งต่ำกว่าที่เราคาดก่อนหน้าที่ 656 ล้านบาทอย่างมาก ซึ่งเป็นการปรับตัวลงของกำไรสุทธิ 45% YoY (กำไรจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้และการขายสินทรัพย์รอการขายที่ลดลง) แต่เพิ่มขึ้น 25% QoQ (กำไรที่เพิ่มขึ้น QoQ จากกำไรจากการให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้) เราคาดการเก็บเงินสดในไตรมาสนี้ที่ 4.0 พันล้านบาท ลดลง 26% YoY (ความล่าช้าจากการขายเงินให้สินเชื่อจากการ ซื้อลูกหนี้และการขายสินทรัพย์รอการขายที่ลดลง) แต่เพิ่มขึ้น 3% QoQ (ช่วงฤดูกาลของการขายเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้) ธนาคารต่างๆ ได้กำหนดเกณฑ์การคัดกรองที่เข้มงวดมากขึ้นสำหรับลูกค้าในสภาพแวดล้อมที่มีอัตราดอกเบี้ยสูง ซึ่งลดความสามารถของลูกหนี้ที่ประสบปัญหาในการชำระคืนเงินกู้ที่มีหลักประกันในช่วงไตรมาส 4/66 เราคาดว่ากำไรจากเงินให้สินเชื่อจากการ ซื้อลูกหนี้ในไตรมาสนี้ที่ 900 ล้านบาท ลดลง 7% YoY (แต่เพิ่มขึ้น 66% Q0Q) กำไรจากการขายสินทรัพย์รอการขายมีแนวโน้มอยู่ที่ 645 ล้านบาทลดลง 23% YoY และ 15% QoQ

ความเสี่ยงจากการปรับลดประมาณการตลาด

เราปรับลดกำไรสุทธิ ปี 2566 ลง 10% เหลือ 1.6 พันล้านบาท (ลดลง 43% YoY) ซึ่งต่ำกว่าที่ตลาดคาดในปัจจุบันถึง 16% ดังนั้นจึงมีความเสี่ยงที่จะมีการปรับลดประมาณจากตลาด เราปรับลดคาดการณ์สำหรับกำไรจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้และการขายสินทรัพย์รอการขาย เนื่องจากปัจจุบันเราคาดว่าธุรกิจบริหารหนี้ที่มีหลักประกันจะฟื้นตัวได้ช้า เนื่องจากปัญหาที่เกี่ยวข้องกับหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูงและอัตราดอกเบี้ยที่สูง ดังนั้นเราจึงปรับลดประมาณการกำไรปี 2567 ลง 10% เหลือ 1.8 พันล้านบาท (เพิ่มขึ้น 14% YoY) และยังต่ำกว่าที่ตลาดคาดในปัจจุบันถึง 16% เราคาดกำไรสุทธิไตรมาส 1/67 อยู่ที่ 300 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13% YoY (กำไรจากเงินให้สินเชื่อจากการซื้อลูกหนี้ที่เพิ่มขึ้น YOY) แต่ลดลง 38% QoQ (การเก็บเงินสดที่ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล)

BAM ใช้เงิน 1.48 หมื่นล้านบาทเพื่อซื้อหนี้ใหม่ในปี 2566

เราคาดว่า BAM จะทุ่มงบ 2.0 พันล้านบาทเพื่อซื้อหนี้ใหม่ในไตรมาส 4/66 ซึ่งจะส่งผลให้รายจ่ายด้านหนี้ในปี 2566 อยู่ที่ 1.48 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 80% YoY หนี้ใหม่น่าจะเป็นประโยชน์ต่อ BAM ในระยะกลางถึงระยะยาว แต่ไม่ใช่ในระยะสั้น เนื่องจากหนี้ดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะใช้เวลา 4-5 ปีในการเริ่มต้นสร้างผลกำไรอย่างมีนัยสำคัญ-สินเชื่อที่อยู่อาศัยโดยทั่วไปจะใช้เวลานานในการชำระหนี้ (การดำเนินคดียึดสังหาริมทรัพย์ในศาลมักใช้เวลานานหลายปี)

เราชอบ JMT มากกว่า BAM

เราคาดว่าธุรกิจบริหารหนี้ที่ไม่มีหลักประกันของ BAM จะฟื้นตัวอย่างช้าๆ ในปี 2567 ดังนั้นในกลุ่มบริหารสินทรัพย์ เราชอบ JMT มากกว่า เนื่องจากแนวโน้มในปี 2567 สำหรับธุรกิจบริหารหนี้ที่ไม่มีหลักประกัน ยังคงดี PER ปี 2567 ของ BAM อยู่ที่ 15.3 เท่า ในขณะที่เราคาดการณ์ EPS CAGR ปี 2567-68 ที่ 13% ซึ่งคิดเป็นอัตราส่วน PEG ที่ 1.2 เท่า ซึ่งสูงกว่าอัตราส่วน PEG ของ JMT ที่ 1.0 เท่า

 

- Advertisement -