Daily Focus: Earnings and Selective Play

2024 SET Target : 1520

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งตัว Sideways ในกรอบจำกัด โดยดัชนีปิดทรงตัว -0.23 จุด ที่ระดับ 1,388.37 จุด ขณะที่มูลค่าการซื้อขายเบาบางเพียง 2.9 หมื่นลบ. เนื่องจากอยู่ในช่วงวันหยุดเทศกาลตรุษจีนของหลายตลาดในเอเชีย สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้น 712 ลบ.และ 859 ลบ. ตามลำดับ (ต่างชาติ Short Index Futures อีก 9.5 พันสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะยังคงแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,380-1,395 จุด โดยภาพรวมตลาดยังขาดปัจจัยใหม่ที่ชัดเจนเข้ามากระตุ้น ปัจจัยสำคัญที่ตลาดรอติดตามสัปดาห์นี้คือตัวเลขเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯเดือน ม.ค. ในคืนวันอังคาร ซึ่งจะมีผลต่อการประเมินโอกาสในการลดดอกเบี้ยของ FED โดยล่าสุดตลาดมองโอกาสลดดอกเบี้ยเดือน มี.ค.เหลือแค่ 16% ขณะที่เดือน พ.ค. อยู่ที่ 70% ฝั่ง Bond Yield 10 ปีสหรัฐฯ ยังคงขยับขึ้นอีกเล็กน้อยแตะ 4.18% และ Dollar Index แข็งค่า ยังคงกดดันสกุลเงินเอเชียและจำกัดการไหลเข้าของกระแสเงินทุน ส่วนของไทยไหลออกติดต่อกัน 3 วันทำการจากความคาดหวังเรื่องการลดดอกเบี้ยของ กนง. ในการประชุมครั้งถัดๆ ไปที่เพิ่มขึ้น หลังให้ภาพการเติบโตของเศรษฐกิจที่ช้าและเงินเฟ้อที่ต่ำ โดยสภาพัฒน์ฯจะประกาศตัวเลข GDP 4Q23 และ 2023 ในวันจันทร์หน้า ส่วนด้านผลประกอบการ 4Q23 บจ.จะทยอยประกาศหนาแน่นขึ้นในสัปดาห์นี้ต่อเนื่อง 2 สัปดาห์ข้างหน้า ซึ่งคาดว่าจะเริ่มเห็นความชัดเจน ทั้งด้านการฟื้นตัวรวมถึงการปรับลดประมาณการปี 2024 ลงว่ามากน้อยเพียงใด ระยะสั้นเน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่คาดประกาศกำไรแข็งแกร่ง และมีปัจจัยบวกเฉพาะตัว เรายังเชื่อว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยได้ Bottom ในปี 2023 แล้ว ก่อนทยอยเร่งตัวขึ้นในปี 2024 โดยยังคาดหวังมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจภาครัฐ รวมถึงงบประมาณปี 2024 ที่คาดว่าจะผ่านใน 2Q24 เรายังมองดัชนีที่ระดับ 1,350-1,360 จุด ยังน่าสนใจในการทยอยสะสมระยะกลาง-ยาว

กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่โมเมนตัมกำไร 4Q23-2024 แข็งแกร่งและ PER/PBV ต่ำเทียบกับ Pre-Covid

หุ้นเด่นเดือน ก.พ.: CPALL, ITEL, MINT, PR9, TU

หุ้นเด่นวันนี้ : TACC

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 7.80 บาท
  • คาดกำไรปกติ 4Q23 สูงสุดในรอบ 6 ไตรมาสที่ 61 ลบ. +19% q-q, +27% y-y จาก High Season และมีการออกเครื่องดื่มรสชาติใหม่ ทำให้รายได้คาดโตแกร่ง +11% q-q, +13% y-y ดีกว่า SSSG ของ 7-11 ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบทรงตัว ทำให้ Margin ยังยืนใกล้เคียง 3Q23 จบปี 2023 คาดมีกำไรปกติ 209 ลบ. -10% y-y
  • ใน 4Q23 จะมีการบันทึกด้อยค่าเงินลงทุนใน TCI ราว 30 ลบ. ซึ่งมีการทำสัญญาขายหุ้นและอยู่ระหว่างดำเนินการ โดยหากขั้นตอนการซื้อขายแล้วเสร็จจะมีการกลับรายการเข้ามาในปี 2024 ซึ่งจะเป็นปัจจัยหนุนเพิ่มจากผลการดำเนินงานปกติที่คาดกลับมาเติบโตที่ 240 ลบ. +15% y-y ราคาหุ้นเทรด PER เพียง 11-12 เท่า และให้ Dividend Yield สูงถึง 7-8% ต่อปี
  • แนวรับ 4.42-4.40//4.30 บาท แนวต้าน 4.60//4.80 บาท

Fund Flow : วันศุกร์หลายตลาดในเอเชียปิดทำการเนื่องในเทศกาลตรุษจีน ทำให้กระแสเงินทุนเบาบาง โดยไทยที่ยังเปิดมีกระแสเงินทุนไหลออก US$24 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนวันนี้คาดปรับตัวขึ้นหลังทุกตลาดกลับมาเปิดทำการ มีเพียงแค่จีนที่ยังปิด แต่คาดกระแสเงินทุนผสมผสาน โดยยังถูกจำกัดจาก Bond Yield สหรัฐฯที่ยังขยับขึ้น ส่วนปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตาม คือเงินเฟ้อ CPI เดือน ม.ค. สหรัฐฯคืนพรุ่งนี้

ประเด็นสำคัญวันนี้

(+) ASW ประกาศแผนการธุรกิจปี 2024 อย่างระมัดระวัง ตั้งเป้า Presales +8% y-y และมีแผนลงทุนโครงการใหม่มูลค่า 1.8 หมื่นลบ. -14% y-y คาดกำไรสุทธิ 4Q23 ที่ 435 ลบ. +158% q-q, +1% y-y หากไม่รวมกำไร Share premium จากสัญญา JV ใหม่ จะมีกำไรปกติ 375 ลบ. +328% q-q, +36% y-y จากคอนโดสร้างใหม่ 3 แห่ง และโครงการ JV 2 แห่ง ส่งผลให้ยอดโอนไตรมาสนี้ดีขึ้น รวมถึงอัตรากำไรขั้นต้นสูงขึ้น จบปี 2023 คาดมีกำไรสุทธิ 1 พันลบ. -7% y-y อย่างไรก็ตาม เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2024 ลง 4% เป็นเติบโต +7% y-y จากการเลื่อนรับรู้รายได้ของโครงการ TITLE ได้ราคาเป้าหมายใหม่ 9.50 บาท ด้วยราคาหุ้นยังมี upside มากกว่า 10% และ Div. Yield 6.3% ต่อปี จึงยังแนะนำ “ซื้อ”

(0) STANLY รายงานกำไรสุทธิ 3QFY24 ที่ 443 ลบ. (ต.ค.-ธ.ค. 2023) หักผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยน เป็นกำไรปกติ 453 ลบ. -6.5% q-q, +15.5% y-y ใกล้เคียงคาด กำไรที่ลดลง q-q เพราะไตรมาสนี้เป็น low season และไม่มีเงินปันผลรับจากบริษัทย่อยเหมือนในไตรมาสก่อน โดยรวมถือเป็นไตรมาสที่ดีทั้งที่เป็น low season แม้ว่าเรามีแนวโน้มปรับประมาณการลงให้สะท้อนผลกำไร 9MFY24 ที่ออกมา แต่ STANLY เป็นผู้นำในตลาดที่มีการแข่งขันไม่สูงนัก ปลอดหนี้ มีเงินสดในมือถึง 8 พันลบ. (105 บาท/หุ้น) คงราคาเป้าหมาย 240 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”

(0) BAM คาดกำไรสุทธิ 4Q23 ที่ 489 ลบ. +5% q-q, -51% y-y จากฐานที่สูงในปีก่อนภาพรวมอุตสาหกรรม AMC ใน 4Q23 ยังคงชะลอตัวต่อเนื่องจาก 3Q23 อย่างไรก็ตาม น่าจะมีการจัดเก็บหนี้ก้อนใหญ่ใน 4Q23 ด้าน cost of fund คาดปรับขึ้นเล็กน้อย q-q เราคาดกำไรสุทธิปี 2023 ที่ 1.5 พันลบ. -45% y-y ส่วนปี 2024 เราปรับประมาณการลงเล็กน้อย แต่ยังกลับมาเติบโตได้จากฐานต่ำในปี 2023 ส่วน Catalyst ระยะสั้นน่าจะเป็นความสามารถในการ จ่ายหนี้ของลูกหนี้ที่ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ cost to income ลดลง แต่อย่างไรก็ตามเรายังกังวลต่อภาพรวมอุตสาหกรรม AMC ยังอ่อนไหวกับภาวะเศรษฐกิจที่ฟื้นตัวช้า คงราคาเป้าหมาย 8.75 บาท แนะนำเพียง “ถือ”

(0) JMT คาดกำไรสุทธิ 4Q23 ที่ 424 ลบ. +11% q-q, ทรงตัว y-y จากการจัดเก็บหนี้เพิ่มขึ้นตามฤดูกาล และตั้งสำรองที่ลดลงจากการกลับรายการทางบัญชี ขณะที่ค่าใช้จ่ายดำเนินงานปรับขึ้น จบปี 2023 คาดกำไรสุทธิ 2 พันลบ. +12% y-y ต่ำกว่าที่บริษัทตั้งเป้ากำไรเติบโต 20-30% y-y และต่ำกว่าที่เราเคยคาดไว้ก่อนหน้านี้ 4.6% ปี 2024-2025 เราคาดกำไรสุทธิปี เติบโตเฉลี่ยต่อปี 19% ต่อปี ต่ำกว่าเป้าหมายของผู้บริหาร จากเศรษฐกิจที่ฟื้นช้า ซึ่งกระทบการเก็บเงิน ปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็น 25.70 บาท ราคาหุ้นมี upside จำกัดแนะนำเพียง “ถือ”

(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 54.64 จุด หรือ -0.14% ปิดที่ 38,671.69 จุด ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดเหนือระดับ 5,000 จุดได้เป็นครั้งแรก และดัชนี Nasdag ปรับตัวขึ้นเหนือระดับ 16,000 จุดได้ในช่วงสั้น ๆ โดยได้แรงหนุนจากหุ้นที่มีมูลค่าตลาดสูงและหุ้นชิป ซึ่งรวมถึงหุ้นอินวิเดีย เนื่องจากนักลงทุนมีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับ AI และการเปิดเผยผลประกอบการที่แข็งแกร่ง

(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นลอรีอัล และการปรับตัวขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรถ่วงตลาดลงด้วย

(0) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดทรงตัว หลังวันหยุดยาวในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ตลาดจีนยังไม่เปิดทำการในสัปดาห์

(-) ค่าเงินบาท อ่อนค่า อยู่ที่บริเวณ 35.92 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ +0.17%

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 62 เซนต์ หรือ 0.81% ปิดที่ 76.84 ดอลลาร์/บาร์เรล และปรับตัวขึ้น 6.3% ในรอบสัปดาห์นี้ ปรับตัวขึ้นราว 6% ในรอบสัปดาห์นี้ โดยได้แรงหนุนจากความวิตกเกี่ยวกับปริมาณน้ำมันจากตะวันออกกลาง และปัญหาด้านการผลิตซึ่งทำให้ตลาดน้ำมันกลั่นตึงตัว ในขณะที่เช้านี้ปรับขึ้นอยู่ที่ระดับ 76.40 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.57%

(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 9.20 ดอลลาร์ หรือ 0.45% ปิดที่ 2,038.70ดอลลาร์/ออนซ์ โดยตลาดถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ปรับตัวขึ้น ขณะที่นักลงทุนรอการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐในสัปดาห์หน้าเพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ว่าเฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงเมื่อใด ในขณะที่เช้านี้ปรับ ขึ้นเล็กน้อยที่ระดับ 2,040.60 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ +0.09%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 841.92/ -0.21%

- Advertisement -