บล.เอเซีย พลัส:

 กำไร 4Q66 โตทั้ง QoQ และ YoY

JMT มีกำไรสุทธิ 4Q66 ที่ 540 ล้านบาท (+16% QoQ, +10% YoY) กำไรที่โตขึ้น QoQ และ YoY จากรายได้ที่ขยายตามธุรกิจซื้อหนี้มาบริหาร โดยบริษัทจัดเก็บเงินได้ 1.5 พันล้านบาท (+14% QoQ, +14% YoY) ทำให้ทั้งปี 2566 มีกำไรที่ 2,010 ล้านบาท (+15% YoY) เก็บเงินสด (ไม่รวม JK) ได้ 5.8 พันล้านบาท (+4% YoY) เราได้ปรับลดประมาณการกำไรปี 2567 – 68 ลงจากเดิมเฉลี่ย 5% เหลือ 2.2 – 2.5 พันล้านบาทตามลำดับ และปรับลด PBV ลงจาก -1.5 S.D เป็น -1.75 S.D ความเสี่ยงของการจัดเก็บหนี้ ในภาวะที่กำลังซื้อยังอ่อนแอ ทำให้ราคาเป้าหมายปี 2567 ลดจาก 45.00 บาท เหลือ 36.50 บาท (อิง PBV 1.9 เท่า) คงคำแนะนำ
“Outperform” เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยบวกจากกำไร 4Q66 ที่ออกมาดี, และ 2) ราคาหุ้นได้ปรับลงสะท้อนความกังวลต่างๆไปมากแล้ว (-11% YTD)

กำไรสุทธิ 4Q66 โตทั้ง QoQ และ YoY

JMT มีกำไรสุทธิงวด 4Q66 ที่ 540 ล้านบาท (+16% QoQ, +10% YoY) โดยปัจจัยหลักที่หนุนกำไรในงวดนี้ให้เติบโต QoQ คือ

1) รายได้เพิ่มขึ้นเป็น 1.4 พันล้านบาท (+5% QoQ) จากการเติบโตของทุกๆ ธุรกิจ คือ ธุรกิจรับซื้อมาบริหารเอง (ธุรกิจหลัก) ซึ่งมีรายได้เพิ่มเป็น 1.2 พันล้านบาท (+5% QoQ) ตามการขยายตัวของพอร์ตลูกหนี้ที่ซื้อมาเพิ่ม, ธุรกิจรับจ้างจัดเก็บหนี้ มีรายได้ที่ 355 ล้านบาท (+2% QoQ), ธุรกิจนายหน้าประกัน มีรายได้ที่ 87 ล้านบาท (+11% QoQ)

2) ค่าใช้จ่ายขายและบริหารที่ทรงตัว QoQ

3) มีรายการผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดจะเกิดขึ้น (Expected Credit Loss-ECL) แต่เป็นการตั้งที่ต่ำกว่า 3Q66 (-24% QoQ) เหลือ 126 ล้านบาท

และหากเทียบกับงวด 4Q65 กำไรโต 10% YoY ต่ำกว่ารายได้ที่เติบโต 16% YoY เนื่องจากต้นทุนสูงขึ้น 8% YoY และ มีดอกเบี้ยจ่ายเพิ่มขึ้น 40% YoY จากเงินกู้ยืมที่เพิ่มขึ้น โดยเฉพาะการออกหุ้นกู้ เพื่อนำไปซื้อหนี้ด้อยคุณภาพ

โดยรวมแล้วทั้งปี 2566 บริษัทมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 2.0 พันล้านบาท (+15% YoY) ผลักดันจากฐานรายได้ที่โต 16% จากการเติบโตของทุกๆธุรกิจ โดยธุรกิจซื้อหนี้มาบริหารเอง ที่เป็นธุรกิจหลัก มีรายได้เพิ่ม 16% YoY

ยอดจัดเก็บกระแสเงินสดเพิ่มขึ้น แต่ทั้งปีต่ำกว่าเป้าเล็กน้อย

แต่หากพิจารณายอดจัดเก็บกระแสเงินสดพบว่าในงวด 4Q66 บริษัทสามารถจัดเก็บได้ 1.5 พันล้านบาท (+14% QoQ, +14% YoY) ส่งผลให้ยอดจัดเก็บกระแสเงินสดโดยรวมสำหรับปี 2566 อยู่ที่ 5.8 พันล้านบาท โดยหากรวมการจัดเก็บของ JK AMC จะมียอดจัดเก็บรวมอยู่ที่ 8.7 พันล้านบาท หรือต่ำกว่าเล็กน้อยจากเป้าหมายที่เคยตั้งไว้สำหรับปี 2566 ที่ 9.0 พันล้านบาท

ปรับลดประมาณการกำไร แต่ยังคงคำแนะนำ “Outperform”

เพื่อสะท้อนยอดการจัดเก็บกระแสเงินสดในปี 2566 ที่ต่ำกว่าคาด และการตั้งสำรองผลขาดทุนด้านเครดิต (ECL) ที่มากกว่าคาด ทำให้เราได้ปรับลดประมาณการกำไรสุทธิสำหรับปี 2567-2568 ลงจากเดิมเฉลี่ย 5% เหลือ 2.2 พันล้านบาท (+11% YOY) และ 2.5 พันล้านบาท (+12% YOY)

ภายใต้ประมาณการใหม่ และปรับลด PBV จากเดิม 2.4 เท่า (-1.5 S.D) เป็น 1.9 เท่า (-1.75 S.D) เพื่อสะท้อนความเสี่ยงในการจัดเก็บเงิน ในภาวะที่กำลังซื้อยังอ่อนแอ ทำให้ราคาเป้าหมายสำหรับปี 2567 ปรับลดจาก 45.00 บาท เหลือ 36.50 บาท แต่อย่างไรก็ตามเรายังคงคำแนะนำ “Outperform” สำหรับหุ้น JMT เพราะ 1) ระยะสั้นมีปัจจัยหนุนจากกำไรในช่วง 4Q66 ที่ออกมาดี และ 2) ราคาหุ้น JMT สะท้อนความกังวลต่างๆไปมากแล้ว โดยปรับลดลงไปกว่า 11% YTD โดยราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่ -2.5 S.D

ประเด็นความเสี่ยง

1. เศรษฐกิจชะลอตัว อาจส่งผลกระทบต่อการรับจ้างจัดเก็บหนี้และการจัดเก็บกระแสเงินสดของบริษัทได้
2. กฎหมายและข้อบังคับจากภาครัฐ

- Advertisement -