บล.เอเซีย พลัส
JMART คาดหวังปี 2567 พลิกฟื้นมีกำไรสุทธิได้อีกครั้ง
JMART มีกำไรสุทธิ 4Q66 ที่ 166 ล้านบาท (-64% QoQ, -67% YoY) ส่วนกำไรปกติอยู่ที่ 159 ล้านบาท (+57% QoQ, -24% YoY) กำไรที่โตขึ้น QoQ เพราะแรงหนุนจาก JMT และมีส่วนแบ่งกำไรจากกลุ่ม JK สูงขึ้น ส่วนกำไร YoY ถูกฉุดด้วยรายได้ที่ลดลง แต่ค่าใช้จ่ายสูงขึ้น โดยรวมปี 2566 ยังขาดทุนสุทธิ 447 ล้านบาท เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับปรุงกำไรของ JMT ไปก่อนหน้านี้ บวกกับคาดกำลังซื้อที่ยังอ่อนแอ จะยังกดดันธุรกิจจัดจำหน่ายมือถือต่อไป เราจึงปรับลดประมาณการกำไรปี 2567 – 68 เหลือ 1.3 – 1.4 พันล้านบาทตามลำดับ ส่งผลให้ราคาเป้าหมายปรับลดจาก 23.6 บาท เหลือ 20.90 บาท (SOTP) แต่ยังคงคำแนะนำ Outperform เพราะ 1) เชื่อว่าการดำเนินงานผ่านจุดต่ำสุดแล้วในปี 2566 และ 2) ราคาหุ้นได้ปรับลงสะท้อนปัจจัยลบไปมากแล้ว (-12% YTD) และยัง laggard กลุ่ม
กำไรปกติ 4Q66 โตได้ QoQ แต่ชะลอลง YoY
JMART มีกำไรสุทธิงวด 4Q66 ที่ 166 ล้านบาท (-43% QoQ, -68% YoY) หากไม่รวมรายการพิเศษ 7 ล้านบาท พบว่ามีกำไรปกติในงวด 4Q66 ที่ 159 ล้านบาท (+57% QoQ, -24% YoY)
โดยประเด็นสำคัญที่หนุนกำไรปกติโต QoQ เป็นเพราะ
1) รายได้เพิ่มเป็น 3.5 พันล้านบาท (+1% QoQ) จากธุรกิจติดตามหนี้ (JMT) รวมทั้งธุรกิจให้เช่าพื้นที่และอื่นๆมีรายได้โตขึ้น 6% QoQ และ 7% QoQ ตามลำดับ ขณะที่ธุรกิจจัดจำหน่ายสินค้ามือถือชะลอตัวลง (-2% QoQ) ตามยอดขายที่ลดลงจากช่องทางจำหน่ายผ่าน SINGER และกำลังซื้อที่อ่อนแอ
2) มีส่วนแบ่งกำไรจาก บ.ร่วมค้า (บจ.บริหารสินทรัพย์ เจเค) เพิ่ม 36% QoQ
สำหรับกำไรปกติเมื่อเทียบ YoY ชะลอตัวลง เนื่องจากรายได้ลดลง 4% YoY ขณะที่ค่าใช้จ่ายขายและบริหารเพิ่มขึ้นถึง 30% YoY จากค่าใช้จ่ายพนักงานและค่าใช้จ่ายทางการตลาดที่เพิ่มขึ้นของ JMT บวกกับดอกเบี้ยจ่ายสูงขึ้น (+32% YoY) จากทั้งหนี้สินที่เพิ่ม เพื่อขยายธุรกิจ และอัตราดอกเบี้ยที่ขยับสูงขึ้น
โดยรวมแล้วทั้งปี 2566 มีผลขาดทุนสุทธิ 447 ล้านบาท (รวมรายการพิเศษ ซึ่งส่วนใหญ่มาจากรายการผลขาดทุนด้านเครดิตของกลุ่ม SINGER) โดยกำไรปกติอยู่ที่ 106 ล้านบาท ลดลงถึง 91% YoY จากรายได้ที่ต่ำลง ขณะที่ยังมีค่าใช้จ่าย
สูงขึ้น
ปรับลดประมาณการกำไร ตามการปรับปรุงกำไร บ.ลูก
เพื่อสะท้อนการปรับลดกำไรของธุรกิจติดตามหนี้ (JMT) ไปก่อนนี้ บวกกับยอดขายของธุรกิจจัดจำหน่ายมือถือ น่าจะยังถูกกดดันจากกำลังซื้อที่ยังอ่อนแอ ทำให้เราต้องปรับคาดการณ์กำไรปกติปี 2567 – 2568 ของ JMART ลง จากเดิมเฉลี่ย 4% เหลือ 1.3 พันล้านบาท – 1.4 พันล้านบาท ตามลำดับ
ภายใต้ประมาณการใหม่ ทำให้ราคาเป้าหมายปี 2567 ที่ประเมินด้วยวิธี Sum of the Part ที่คิดส่วนลดจาก NAV 30%) อยู่ที่ 20.90 บาท (อิงราคาเป้าหมาย ของ JMT ของเราที่ 36.50 บาท)
ทั้งนี้เราคงคำแนะนำ “Outperform” สำหรับ JMART เพราะ 1) เชื่อว่าผลการดำเนินผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 2566 โดยคาดหวังการฟื้นตัวดีขึ้นในทุกๆธุรกิจ คือ การจัดจำหน่ายมือถือ (ธุรกิจหลัก) การติดตามหนี้ (ธุรกิจรอง) และพื้นที่ให้เช่า (ธุรกิจรอง) รวมทั้งส่วนแบ่งกำไร(ขาดทุน) จาก บ.ย่อย ที่จะสูงขึ้น โดยเฉพาะกลุ่ม SINGER ที่เริ่มเห็นการฟื้นตัวแล้วใน 2H66 นอกจากนี้ยังมี BNN (สุกี้ตี๋น้อย) ที่จะส่งต่อส่วนแบ่งกำไรเพิ่มขึ้นตามการขยายสาขาเพิ่ม, และ 2) ราคาหุ้นปรับลดลงมาสะท้อนปัจจัยลบต่างๆไปมากแล้ว (-12% YTD) โดยราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายด้วย Norm PER ปี 2567 ราว 18 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยกลุ่ม ICT ที่ปัจจุบันซื้อขายด้วย PER 32 เท่า
ประเด็นความเสี่ยง
1. เศรษฐกิจชะลอตัว อาจส่งผลกระทบต่อการรับจ้างจัดเก็บหนี้และการจัดเก็บกระแสเงินสดของบริษัทได้
2. กฎหมายและข้อบังคับจากภาครัฐ