Daily Focus: Selective Play
2024 SET Target : 1470
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวลงต่อเนื่องเป็นวันที่ 7 ติดต่อกัน โดยปิดลบอีก 3.33 จุด สู่ระดับ 1,359.26 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายทรงตัวราว 4 หมื่นลบ. โดยหลุด Low ในช่วงต้นชั่วโมงการซื้อขาย ก่อนที่จะมีแรงซื้อกลับเข้ามาประคอง หุ้นที่ถ่วงตลาด ได้แก่ DELTA ADVANC AOT เป็นต้น ส่วนหุ้นที่หนุน คือ BDMS CPALL TRUE GULF สถาบันในประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 904 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเร่งขึ้นเป็น 2.9 พันลบ. (และกลับมา Short Index Futures 6.7 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะยังแกว่งตัวทดสอบบริเวณ Low เดิมที่ 1,350+- จุดและต้องติดตามว่าจะยืนเหนือระดับดังกล่าวได้ต่อเนื่องหรือไม่ บรรยากาศการลงทุนโดยรวมค่อนไปในทางลบจากฝั่งสหรัฐฯที่ปรับตัวร่วงแรงหลังจากบวกได้ต่อเนื่องแข็งแกร่งในช่วงก่อนหน้า ด้านตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ISM ภาคบริการเดือน ก.พ. ออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ขณะที่โฟกัสตลาดในช่วงที่เหลือของสัปดาห์นี้คือการแถลงของประธาน FED ต่อสภาคองเกรสช่วง 2 วันนี้ โดยตลาดคาดว่าจะยังคง Message เดิมคือไม่เร่งรีบในการลดดอกเบี้ย รวมถึงรอดูตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรคืนวันศุกร์ ส่วนปัจจัยในประเทศยังขาดปัจจัยหนุนใหม่ ตัวเลขเงินเฟ้อเดือน ก.พ. ออกมาต่ำกว่าคาด ในส่วนของ Core CPI ที่ +0.43% y-y ทำให้ตลาดยังคาดหวังการลดดอกเบี้ยของกนง.ในระยะถัดไปเรา ยังคงมองว่าดัชนีมีโอกาสที่จะทรงตัวไม่หลุด Low 1,350 จุด ได้จากทั้งเศรษฐกิจไทยและกำไรบจ.ที่คาดว่า Bottom แล้วในปี 2023 ก่อนจะเริ่มฟื้นตัวใน 2024 ขณะที่ช่วงปลายเดือน
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่แนวโน้มกำไรปี 2024 แข็งแกร่งและเทรด PER/PBV ต่ำเทียบกับ Pre-Covid // ถือลงทุนหลังสะสมหุ้นเพิ่มบริเวณ 1,350 จุด
หุ้นเด่นเดือน มี.ค.’ BDMS, HMPRO, KCG, SHR, TACC
FSSIA Portfolio: AOT, BCH, CALL, CPN, GPSC, MINT, NSL, SJWD, and TIDLOR
หุ้นเด่นวันนี้ : BDMS
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 35 บาท
- คาดโมเมนตัมการเติบโตของกำไร 1024 จะดีต่อเนื่องและคาดรายได้จะทำสถิติสูงสุดใหม่ ส่งผลให้แนวโน้มรายได้เติบโต 10-12% ในปี 2024 หนุนจากรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติที่ยังแข็งแกร่ง ต่อเนื่อง
- บริษัทคาดว่ารายได้น่าจะเติบโตเฉลี่ยปีละ 10% ในช่วงปี 2024-26 จากจำนวนเตียงที่จะเพิ่มขึ้นจาก 8,600 ในปี 2023 เป็น 9,300 เตียงในปี 2026 ด้วย outlook ที่ดีขึ้น เราจึงปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 2024-25 ขึ้นเป็นเติบโต 14% และ 9% ตามลำดับ
- แนวรับ 28-27.50 บาท แนวต้าน 29.50-30//32 บาท
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนผสมผสาน สุทธิแล้วไหลเข้าบางลงเหลือ US$122 ล้าน โดยไหลเข้ากระจุกตัวที่ไต้หวัน US$238 ล้าน แต่ไหลออกหลักๆในอาเซียน นำโดยไทยและอินโดนีเซีย US$82 ล้านและ US$49 ล้าน ตามลำดับ แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่ามีโอกาสพลิกมาไหลออก โดยเฉพาะแรงขายในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีตามฝั่งสหรัฐฯที่ร่วงแรง ตลาดจับตาดูการแถลงต่อสภาฯของประธาน FED รวมถึงตัวเลขการจ้างงานสหรัฐฯในช่วงกลาง-ปลายสัปดาห์
ประเด็นสำคัญวันนี้
(0) เงินเฟ้อไทยเดือน ก.พ. ยังอยู่ในระดับต่ำ เงินเฟ้อทั่วไป -0.77% y-y สูงกว่าตลาดคาดที่ – 0.8% ฟื้นจากเดือนก่อนที่ -1.11% เงินเฟ้อพื้นฐาน +0.43% y-y ต่ำกว่าตลาดคาดที่ +0.5% y-y และชะลอจากเดือนก่อนที่ +0.52% y-y ทำให้คาดว่ายังมีความคาดหวังและรงกดดันต่อกนง.ในการลดดอกเบี้ยในระยะถัดไป เราเชื่อว่าอย่างเร็วที่สุดคือรอบการประชุมเดือน มิ.ย. ระยะสั้น Bond Yield ที่ปรับลงเป็นประเด็นเก็งกำไรกลุ่มไฟแนนซ์ โรงไฟฟ้า
(+) กลุ่มธนาคาร คลังฯ ประกาศหลักเกณฑ์จัดตั้ง “ธนาคารไร้สาขา (Virtual Bank)” เรามีมุมมองบวกในระยะยาวต่อแนวโน้มการจัดตั้ง Virtual Bank เนื่องจากสามารถตอบโจทย์ความต้องการของ ลูกค้าที่เปลี่ยนไปในยุคดิจิทัลได้ดี ระยะสั้นอาจมี sentiment บวกจากกระแสการจัดตั้ง Virtual Bank และการยื่นขอใบอนุญาตในกลุ่มบริษัทที่เกี่ยวข้อง ประกอบด้วยกลุ่ม 1) KTB-AIS-OR-GULF และ 2) SCB-KAKAO Bank ยังมีกลุ่มพันธมิตรอื่นๆ ที่มีความสนใจตามข่าวที่เปิดเผย ได้แก่ กลุ่ม CP และ TRUE และ กลุ่ม JMART ขณะที่ ธ.พ. ที่เหลืออื่นๆ ยังไม่ได้แสดงความสนใจ เพราะเชื่อว่ามีการให้บริการ digital banking ที่มีประสิทธิภาพอยู่แล้ว
(+) BH เราคาดรายได้ปี 2024 เติบโต 7% y-y จากการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยต่างชาติที่แข็งแกร่ง ต่อเนื่อง ปริมาณการใช้เตียงเพิ่มขึ้น และมีการปรับเพิ่มราคาค่าบริการเพิ่มขึ้น 6% ส่งผลให้ EBITDA margin เพิ่มขึ้น ทำให้เราปรับประมาณกำไรปี 2024-25 เพิ่มขึ้น 4-5% เป็นเติบโต +7% y-y และ 6% y-y ตามลำดับ และได้ราคาเป้าหมายใหม่ 305 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”
(0) HMPRO ตั้งเป้ารายได้เติบโต 7-8% ในปี 2024 ใกล้เคียงกับประมาณการของเรา โดยมาจาก SSSG +3% โดยการฟื้นตัวเด่นขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ จากผลของ high base ในช่วงครึ่งปีแรกแผนการขยายสาขา 7-8 สาขา แนวโน้ม SSSG 1QTD24 HomePro ทรงตัว และได้แรงหนุนจากจากมาตรการ E-receipt รวมถึงภาวะฝุ่นและอากาศที่ร้อน ยังหนุนยอดขายเครื่องใช้ไฟฟ้าเติบโตได้ คงประมาณการและราคาเป้าหมาย 13.60 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”
(0) HANA แนวโน้มคำสั่งซื้อ 1H24 ยังฟื้นตัวช้า จากกำลังซื้อที่อ่อนแอ และ HANA ไม่ได้ผลบวกจากการเติบโตของ Ai เรายังคาดหวังการกลับมาฟื้นใน 2H24 โดยเฉพาะ SiC ที่ลุ้นถึงจุดคุ้มทุนระดับ EBITDA ระยะสั้นคาดกำไร 1024 จะฟื้น 4-9 หลังไม่มีรายการพิเศษอีก กอปรกับบาทอ่อนเข้ามาช่วย จึงคาดอัตรากำไรขั้นต้นดีขึ้น และคาดทยอยฟื้นตัวต่อใน 2024 ก่อนเริ่มกลับเข้าสู่ระดับปกติไตรมาสละ 600-700 ลบ.ได้ในช่วง 2H24 อย่างไรก็ตาม จากแนวโน้ม 1H24 ที่ฟื้นช้ากว่าคาด เราจึงปรับลดกำไรสุทธิลงโดยคาดกำไรปกติปี 2024 +9% y-y ได้ราคาเป้าหมายใหม่เป็น 50 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”
(0) TIDLOR ยังให้ guidance เป้าหมายธุรกิจปี 2024 อย่างระมัดระวัง โดยตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 10-20% y-y NPL ที่ 1.4-1.8%, Credit cost ที่ 3.29% และ cost to income ratio ที่ 55% ซึ่งส่วนใหญ่ใกล้เคียงกับประมาณการของเรา อย่างไรก็ดีบริษัทยังมีความกังวลต่อผลขาดทุนรถยึดยังมีอยู่ต่อเนื่อง เรายังคงประมาณการกำไรปี 2024 เติบโต 19% Y-y และราคาเป้าหมาย 27 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”
(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 404.64 จุด หรือ -1.04% ปิดที่ 38,585.19 จุดขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ร่วงลงกว่า 1% ด้วยเช่นกัน โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่ อาทิ หุ้นแอปเปิ้ล ขณะที่หุ้นชิปฉุด ดัชนี Nasdaq ลงมากที่สุด ก่อนสหรัฐเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญและประธานเฟด แถลงนโยบายการเงินต่อสภาคองเกรสในสัปดาห์นี้
(-) ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ เนื่องจากหุ้นกลุ่มเหมืองแร่ปรับตัวลงตามราคาโลหะ หลังจีนไม่ได้ออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ขณะที่นักลงทุนรอการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจของยูโรโซนและสหรัฐ รวมถึงการประชุมนโยบายการเงินของ ECB ในสัปดาห์นี้
(0) ตลาดหุ้นเอเชียเปิดทรงตัว หลังหุ้นกลุ่มเทคสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงแรง นำโดย หุ้นแอปเปิ้ล หลังรายงานตัวเลขยอดขายในจีนที่ปรับตัวลดลง
(-) ค่าเงินบาทอ่อนค่า อยู่ที่บริเวณ 35.82 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ +0.20%
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 59 เซนต์ หรือ 0.75% ปิดที่ 78.15 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยไม่ได้รับแรงหนุนจากรายงานที่กลุ่มโอเปกพลัส มีมติขยายเวลาลดกำลังการผลิตน้ำมันโดยสมัครใจไปจนถึงไตรมาส 2/2567 เพื่อพยุงราคาน้ำมันในตลาด ในขณะที่เช้านี้ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 78.13 ดอลลาร์/บาร์เรล
(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 15.60 ดอลลาร์ หรือ 0.73% ปิดที่ 2,141.90ดอลลาร์/ออนซ์ โดยตลาดยังคงขานรับการคาดการณ์ว่าเฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในเดือนมิ.ย. ขณะเดียวกัน นักลงทุนยังคาดหวังว่าธนาคารกลางในประเทศอื่น ๆ จะผ่อนคลายนโยบายการเงินในปีนี้ด้วย ในขณะที่เช้านี้ปรับลงที่ระดับ 2,135.50 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ -0.30%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 821.47/ –