Daily Focus: Selective Play // Hold after Accumulated

2024 SET Target : 1470

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งตัว Sideways Up ได้ตามคาด โดยดัชนีปิดบวก 4.88 จุด ที่ระดับ 1,384.51 จุด มูลค่าการซื้อขายทรงตัวที่ระดับราว 4 หมื่นลบ. ภาพรวมแกว่งตัวใกล้เคียงภูมิภาคเอเชียที่ปรับตัวผสมผสาน กลุ่มที่หนุนตลาด ได้แก่ ปีโตรเคมี บรรจุภัณฑ์ รับเหมาฯ เป็นต้น ส่วนกลุ่มที่ถ่วง ได้แก่ อิเล็กทรอนิกส์ การแพทย์ สถาบันในประเทศขายสุทธิในตลาดหุ้น 608 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติพลิกมาซื้อสุทธิ 1.1 พันลบ. (และ Long Index Futures 1.15 หมื่นสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,380-1,390 จุด โดยกลุ่มพลังงานคาดว่าจะนำตลาดวันนี้ตามราคาน้ำมันดิบที่ดีดตัวขึ้นหลังยูเครนโจมดีโรงกลั่น น้ำมันรัสเซีย รวมถึงตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯที่ลดลงผิดคาด เราคาดการเคลื่อนไหวของ ดัชนีจะจำกัดเพื่อรอดูตัวเลขเงินเฟ้อ PPI สหรัฐฯ เดือน ก.พ. คืนนี้ (ตลาดคาด +0.3% m-m ทรงตัวจากเดือนก่อน) ส่วน Bond Yield ยังขยับตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยล่าสุดอายุ 10 ปี ขยับมาแตะ 4.19% สะท้อนมุมมองว่าตลาดเริ่มกังวลต่อการลดดอกเบี้ยของ FED ที่อาจน้อยกว่าที่เคยประเมิน โดยต้องติดตาม Dot Plot ใหม่หลังการประชุมสัปดาห์หน้า ว่าจะเห็นจำนวนครั้งในการปรับลดดอกเบี้ยจะน้อยลงจากเดือน ธ.ค. ที่มองปี 2024-2026 ปรับลง 3 ครั้ง / 4 ครั้ง / 3 ครั้งตามลำดับหรือไม่ ส่วนปัจจัยในประเทศในช่วงครึ่งเดือนหลังของ มี.ค. ปัจจัยหนุนที่รออยู่คืองบประมาณประจำปี 2567 ที่คาดว่าจะผ่านสภาฯได้และประกาศใช้ต้นเดือน เม.ย. หนุนความเชื่อมั่นและทำให้ภาคการลงทุนเร่งตัว และทำให้โมเมนตัมเศรษฐกิจและกำไรบจ.จะทยอยเร่ง ตัวใน 2024 โดยเฉพาะตั้งแต่ 2024 เป็นต้นไป คาดช่วยหนุนให้ SET Index ทยอยฟื้นตัวและเรามองว่ามีโอกาสที่จะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว

กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่แนวโน้มกำไรปี 2024 แข็งแกร่งและเทรด PER/PBV ต่ำเทียบกับ Pre-Covid // ถือลงทุนหลังสะสมหุ้นเพิ่มบริเวณ 1,350 จุด

หุ้นเด่นเดือน มี.ค.: BDMS, HMPRO, KCG, SHR, TACC

FSSIA Portfolio: AOT, BCH, CPALL, CPN, GPSC, MINT, NSL, SJWD, and TIDLOR

หุ้นเด่นวันนี้ : OSP

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 24.50 บาท
  • เรามีมุมมองค่อนไปในเชิงบวกต่อการประชุมวานนี้ ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 2024 +5% y-y และ 5 ปีข้างหน้า +9% CAGR สู่ระดับ 4 หมื่นลบ. จาก 2.6 หมื่นลบ. ในปี 2023 หนุนจากทั้งไทยและต่างประเทศ รวมถึงแรงดีล M&A ที่มีโอกาสเกิดขึ้น
  • ระยะสั้นเราคาดกำไรปกติ 1Q24 จะโตทั้ง q-q และ y-y ที่ราว 600-650 ลบ. จากปัจจัยฤดูกาลรวมถึงรายได้ที่โตสูงกว่าตลาดเครื่องดื่มชูกำลังที่โต 3% ทำให้ Market Share เริ่มฟื้นตัว เราคาดกำไรปกติปี 2024 ที่ 2.62 พันลบ. +21% y-y
  • แนวรับ 20-19.80 บาท แนวต้าน 20.70-21//21.50 บาท

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคสุทธิ US$676 ล้าน แต่กระจุกตัวที่อินโดนีเซีย US$449 ล้าน หลังจากปิดทำการไปหลายวันก่อนหน้า ส่วนตลาดหลักอย่างเกาหลีใต้ และไต้หวันไหลเข้าบางๆ US$161 ล้านและ US$46 ล้าน ตามลำดับ มีเพียงเวียดนามที่ไหลออก US$19 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่าจะทรงตัวผสมผสาน โดยตลาดรอติดตาม ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญของสหรัฐฯคืนนี้ทั้งเงินเฟ้อ PPI และยอดค้าปลีก

ประเด็นสำคัญวันนี้

(+) TACC ประชุมวานนี้โทนบวก โดยยังคงมุมมองผ่านจุดต่ำสุดปี 2023 ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 2024 โต 10% y-y และแนวโน้มต้นทุนรวมค่อนข้างทรงตัวใกล้เคียงปีก่อน แม้น้ำตาลและกาแฟปรับขึ้น แต่ถูกหักล้างด้วยนมและครีมเทียมปรับลง ขณะที่ไม่ต้องรับรู้ขาดทุนบริษัทร่วม TCI ตั้งแต่ 1Q24 เป็นต้นไป หลังถอนการลงทุนแล้วเสร็จใน 4Q23 และหากขายได้แล้วเสร็จคาดจะมีการกลับรายการด้อยค่าในระยะถัดไป ระยะสั้น คาดกำไร 1024 จะโตทั้ง q-q, y-y จากรายได้ที่ขายไป 7-Eleven ยังโตสดใสต่อเนื่อง เรายังคาดกำไรปี 2024 กลับมาโต 16% และคงเป้าที่ 7.80 บาท ปัจจุบันเทรดเพียง 12 เท่า และคาด dividend yield 8% ต่อปี แนะนำ “ซื้อ”

(+) AWC เราคาดกำไรปกติ 1Q24 ที่ 481 ลบ. เพิ่มขึ้นทั้ง q-q, y-y จาก ReVPAR ที่เติบโตแข็งแกร่างต่อเนื่อง 10-15% y-y รวมถึง Asiatique ฟื้นตัว หนุนจากนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้น สำหรับปี 2024 เราคาดกำไรปกติจะเพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 2.2 พันลบ. จากธุรกิจโรงแรม โดย AWC ตั้งเป้า RevPAR ปี 2024 จะโตก้าวกระโดด 20% y-y หนุนจาก OCC rate และ ADR ที่ปรับขึ้น ขณะที่เราประมาณการ RevPAR เพิ่มขึ้น 13% ในปี 2024 ดังนั้นจึงเป็น upside ต่อประมาณการของเรา นอกจากนี้มูลค่าสินทรัพย์ปัจจุบันทั้งหมดเพิ่มขึ้นกว่า 31% จากปี 2019 เป็น 109 พันลบ. ในปี 2023 และตั้งเป้าเพิ่มสินทรัพย์ใหม่อีกหลายแห่ง ซึ่งจะสามารถสร้าง EBITDA รวมเพิ่มขึ้นอีก 20% ในปี 2026 อย่างไรก็ตามเราปรับลดประมาณกำไรปกติปี 2024-25 ลง 11-21% เพื่อสะท้อนสมมติฐานใหม่ แต่ยังคงราคาเป้าหมาย 5.50 บาทและคงคำแนะนำ “ซื้อ”

(0) FTSE Rebalance Large Cap ไม่มีหุ้นเข้า ส่วนหุ้นออก ได้แก่ CPF HMPRO IVL SCGP โดยย้ายมาเข้า Mid Cap และไม่มีหุ้นออก ส่วนด้าน Small Cap ไม่มีหุ้นเข้า ส่วนหุ้นออก ได้แก่ KEX RABBIT RAM SAMART WORK มีผลราคาปิดวันที่ 15 มี.ค. 24

(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 37.83 จุด หรือ +0.10% ปิดที่ 39,043.32 จุดขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนลบ เนื่องจากนักลงทุนเทขายทำกำไรหุ้นในกลุ่มบริษัทผลิตชิป ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนี PPI ของสหรัฐ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้แนวโน้มเงินเฟ้อก่อนที่การประชุมของเฟดจะมีขึ้นในสัปดาห์หน้า

(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวก แตะระดับสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มค้าปลีกและกลุ่มสาธารณูปโภค หลังการคาดการณ์แนวโน้มธุรกิจที่สดใส

(+) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวก สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวของตลาดสหรัฐฯเมื่อวานนี้ ที่นำตลาดโดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี

(+) ค่าเงินบาทแข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 35.65 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -0.28%

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 2.16 ดอลลาร์ หรือ 2.8% ปิดที่ 79.72ดอลลาร์/บาร์เรล หลังสหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซินลดลงใน สัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งบ่งชี้ว่าความต้องการใช้น้ำมันในสหรัฐยังคงแข็งแกร่งนอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าอุปทานน้ำมันในตลาดจะได้รับผลกระทบจากการที่ยูเครนโจมตีโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซีย ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 79.84 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.15%

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 14.70 ดอลลาร์ หรือ 0.68% ปิดที่ 2,180.80ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ ในขณะที่เช้านี้ปรับทรงตัวที่ระดับ 2,180.80 ดอลลาร์/ออนซ์

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 816.86/ +0.26%

- Advertisement -