Daily Focus: Selective Play // Hold after Accumulated
2024 SET Target : 1470
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวขึ้นได้ดีพอสมควรในช่วงต้นชั่วโมงการซื้อขาย ก่อนจะมีแรงขายออกมากดดันและแกว่งตัว Sideways แคบๆในช่วงบ่าย ดัชนีปิดลบ 3.48 จุด ที่ระดับ 1,382.46 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นขึ้นเป็น 5.4 หมื่นลบ. แต่หากไม่รวม Big Lot AWC จำนวน 1.8 หมื่นลบ. มูลค่าการซื้อขายจะยังเบาบางราว 3.6 หมื่นลบ. สถาบันในประเทศพลิกมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 818 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิราว 1 พันลบ.เมื่อหัก AWC ออก (สถานะ Index Futures เบาบาง)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่งตัว Sideways to Sideways Up ในกรอบ 1,378-1,390 จุด โดยคาดกลุ่มพลังงานจะยังเคลื่อนไหวได้แข็งแรงกว่าตลาดตามราคาน้ำมันดิบที่ยังขยับขึ้นต่อเนื่อง ล่าสุด Brent ขยับขึ้นแตะ US$87 ต่อบาร์เรล เรามองการแกว่งตัวจะยังจำกัดโดยตลาดรอติดตามปัจจัยสำคัญคืนนี้คือการประชุม FED โดยเฉพาะ Dot Plot ว่าจะมีการปรับคาดการณ์การลดดอกเบี้ยในปี 2024-2026 จากรอบก่อนที่ 3 ครั้ง / 4 ครั้ง / 3 ครั้ง ตามลำดับ เช่นเดิมหรือไม่ รวมถึง Neutral Rate ว่ายังเป็น 2.5% หรือมีแนวโน้มขยับขึ้นจากเงินเฟ้อที่ปรับตัวลงช้าในระยะหลัง ส่วนปัจจัยในประเทศ มี Catalyst บวกจากงบประมาณประจำปี 2567 ที่เข้าพิจารณาวาระ 2-3 ในสภาผู้แทนฯ ช่วง 3 วันนี้ และตามแผนจะถูกนำขึ้นทูลเกล้าฯวันที่ 3 เม.ย. เราเชื่อว่าจะหนุนความเชื่อมั่น ต่อนักลงทุนและทำให้โมเมนตัมของการลงทุนภาครัฐให้เร่งตัวขึ้นหลังติดลบแรงในไตรมาสก่อนๆ หนุน GDP เร่งตัวใน 2024 เป็นต้นไป ส่วนประเด็นศาลรัฐธรรมนูญพิจารณารับ/ไม่รับคำร้องยุบพรรคก้าวไกลวันนี้เราคาดว่ากระทบจำกัดห้างอ้างอิงกรณีรับคำร้องยุบพรรคอนาคตใหม่ช่วงปลายปี 2019 โดยรวมเราเชื่อว่า SET Index มีแนวโน้มผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วตามกำไรบจ.และ GDP 4Q23 ที่ประกาศออกมา
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่แนวโน้มกำไรปี 2024 แข็งแกร่งและเทรด PER/PBV ต่ำเทียบกับ Pre-Covid // ถือลงทุนหลังสะสมหุ้นเพิ่มบริเวณ 1,350 จุด
หุ้นเด่นเดือน มี.ค.: BDMS, HMPRO, KCG, SHR, TACC
FSSIA Portfolio: AOT, BCH, CALL, CPN, GPSC, MINT, NSL, SJWD, and TIDLOR
หุ้นเด่นวันนี้ : BKGI
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 2.70 บาท
- เป็นผู้ประกอบการอยู่ในห่วงโซ่จีโนมิกส์หรือการวิเคราะห์พันธุกรรมของสิ่งมีชีวิต ปัจจุบันมีรายได้หลักจากบริการตรวจ NIPT ภายใต้เบรนด์ NIFTY ที่เป็นกรรมสิทธิ์ของผู้ถือหุ้นใหญ่อย่างกลุ่ม BGI ซึ่งเป็นไบโอเทคระดับโลกสัญชาติจีน
- เราคาดกำไรสุทธิปี 2024 ที่ 53 ลบ. +81% y-y และคาด +21% CAGR ใน 3 ปีข้างหน้า จากความต้องการของมนุษย์ที่ต้องการมีสุขภาพดีและมีชีวิตที่ยืนยาว หนุนการใช้การแพทย์จีโนมิกส์ในการเน้นป้องกันโรคเฉพาะบุคคล
*** Finansia เป็นที่ปรึกษาทางการเงินและผู้จัดการการจัดจำหน่ายๆ ***
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนยังไหลออกจากภูมิภาคสุทธิเร่งขึ้นที่ US$1,549 ล้าน นำโดยไต้หวัน US$799 ล้าน เกาหลีใต้ออก US$241 ล้าน ส่วนอาเซียนไหลออกสูงสุดที่ไทย US$521 ล้าน มีเพียงเวียดนามที่ไหลออก แนวโน้มกระแสเงินทุนวันนี้คาดว่า มีโอกาสพลิกมาไหลเข้าแต่ปริมาณคาดยังไม่หนาแน่นนักโดยตลาดยังคงรอติดตามการประชุม FED คืนนี้ต่อแนวโน้มการลดดอกเบี้ยว่าจะเกิดขึ้นกี่ครั้งในช่วง 3 ปีข้างหน้า
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) CPALL แนวโน้ม 1Q24 คาดว่าจะเติบโตได้ y-y หนุนจาก SSSG ที่ยังเป็นบวกทั้ง 3 ธุรกิจโดยธุรกิจ CVS ยังเติบโตได้ 3-4% ขณะที่ธุรกิจค้าส่งและค้าปลีกเติบโตใกล้เคียงกัน 4-5% ขณะเดียวกันผู้บริหารตั้งเป้าหมาย SSSG ปี 2024 เติบโต 3-5% ตามการเติบโตของ GDP และ Inflation รวมถึงตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นตันของธุรกิจร้านสะดวกซื้อเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 0.2% y-y โดยเน้นการขยาย&ปรับปรุงสาขา, O2O และพัฒนาสินค้า F&B เราปรับประมาณการกำไรปกติของ CPALL ในปี 2024-26E ขึ้น 1-5% จากอัตรากำไรขั้นต้นของ CVS ที่ดีกว่าที่คาด ทำให้ปี 2024-26E คาดกำไรปกติเติบโต 16%, 17% และ 13% ตามลำดับ คงราคาเป้าหมาย 77 บาท และยังแนะนำ “ซื้อ”
(+) SINO กลยุทธ์ปี 2024 ขยายธุรกิจตู้คอนเทนเนอร์ ขยายธุรกิจ Cross border และ Barge เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับ Sea freight ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก และคาดเริ่มเห็น Synergy จาก SJWD ตั้งแต่ปี 2024 เรายังคาดกำไรปี 2024 +146% y-y กลับมาฟื้นจากฐานต่ำปีก่อนและเชื่อ ว่า SCFI ที่ชะลอตัวลงมาไม่น่าจะต่ำกว่า 1,700 จุดมากนักจากเหตุการณ์ในทะเลแดงที่ทำให้เรือขนส่งสินค้าต้องเดินทางอ้อมแหลมกู้ดโฮป และกำไรปี 2025-26 จะเติบโต 21%/12%ตามลำดับ คงราคาเป้าหมาย 2 บาท และยังคำแนะนำ “ซื้อ” เชื่อว่าธุรกิจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 320.33 จุด หรือ +0.83% ปิดที่ 39,110.76 จุดโดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ ส่วนดัชนี S&P500 และ Nasdaq ยังคงปิดในแดนบวก หลังจากหุ้น Nvidia พุ่งขึ้นขานรับการเปิดตัวชิป AI ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟด ซึ่งจะมีการแถลงในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ
(+) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก นำโดยการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มการเงินและพลังงานขณะที่นักลงทุนมุ่งความสนใจไปที่การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางต่าง ๆ ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงเฟด
(-) ตลาดหุ้นเอเชียเปิดลบ นำโดยตลาดหุ้นฮ่องกง หลังรายงานดัชนี PPI สหรัฐฯปรับตัวขึ้น +0.6% จากเดือน ก.พ. ซึ่งสูงกว่าตลาดคาด กระทบต่อคาดการณ์ทิศทางนโยบายการเงินของเฟดในปีนี้
(-) ค่าเงินบาทอ่อนค่า อยู่ที่บริเวณ 36.05 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ +0.18%
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 75 เซนต์ หรือ 0.91% ปิดที่ 83.47ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 27 ต.ค. 2566 โดยได้ปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าอุปทานน้ำมันในตลาดโลกจะได้รับผลกระทบจากการที่ยูเครนเดินหน้าโจมดีโรงกลั่นน้ำมันของรัสเซีย ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐในวันนี้ ในขณะที่เช้านี้ลบอยู่ที่ระดับ 83.16ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.37%
(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 4.60 ดอลลาร์ หรือ 0.21% ปิดที่ 2,181.20ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยกดดันตลาดทองคำ ขณะที่นักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายการเงินของเฟด ในวันนี้ตามเวลาสหรัฐ และรอดูการแถลงข่าวของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ในขณะ ที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 2,182.70 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.07%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 837.35/ +0.48%