Daily Focus 2024: Selective Play // Hold after Accumulated
SET Target : 1470
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวลดลงอ่อนแอกว่าที่คาดเล็กน้อย โดยดัชนีปิดลบ 6.58 จุด ที่ระดับ 1,381.04 จุด จากค่าเงินบาทที่ยังค่อนไปในทิศทางอ่อนค่า มูลค่าการซื้อขายบางลงเหลือ 3.9 หมื่นลบ. กลุ่มที่ถ่วงดัชนียังคงเป็นค้าปลีก สื่อสารฯ ขนส่ง พลังงาน ขณะที่กลุ่มที่ปรับตัวขึ้นประคองตลาด คือ ธนาคาร สถาบันในประเทศพลิกมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 462 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 627 ลบ. (และ Short Index Futures 1.27 หมื่นสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index แกว่ง Sideways ในกรอบ 1,375-1,390 จุด ขาด ปัจจัยใหม่กระตุ้นหลังจากที่ตอบรับเชิงบวกต่อผลการประชุม FED สัปดาห์ก่อนไปแล้วพอสมควร สำหรับปัจจัยสำคัญที่ตลาดรอติดตามสัปดาห์นี้อยู่ที่ตัวเลขเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯเดือนก.พ. ช่วงปลายสัปดาห์ ซึ่งตลาดยังมองว่าจะยังอยู่ในทรงสูง (คาด Core PCE +0.4% m-m, +2.8% y-y) ส่วนปัจจัยในประเทศติดตามตัวเลขส่งออกเดือน ก.พ. (ตลาดคาด +4.7% y-y) ส่วนงบประมาณประจำปี 2567 ล่าสุดสภาฯผ่านร่างพรบ.แล้ว โดยจะส่งต่อให้วุฒิสภาให้ความเห็นชอบวันที่ 26 มี.ค. และขึ้นทูลเกล้าฯ 3 เม.ย. โดยเราเชื่อว่าจะหนุนความเชื่อมั่นต่อนักลงทุนและทำให้โมเมนตัมของการลงทุนภาครัฐให้เร่งตัวขึ้นหลังติดลบแรงในไตรมาสก่อนๆ หนุน GDP เร่งตัวใน 2Q24 เป็นต้นไป โดยรวมเราเชื่อว่า SET Index มีแนวโน้มผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วตามกำไรบจ.และ GDP 4Q23 ที่ประกาศออกมา เราคาดดัชนีมีโอกาสทยอยฟื้นตัวใน 2Q24 โดยประเมินว่ามีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบ 1,350-1,450 จุด
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่แนวโน้มกำไรปี 2024 แข็งแกร่งและเทรด PER/PBV ต่ำเทียบกับ Pre-Covid // ถือลงทุนหลังสะสมหุ้นเพิ่มบริเวณ 1,350 จุด
หุ้นเด่นเดือน มี.ค.: BDMS, HMPRO, KCG, SHR, TACC
FSSIA Portfolio: AOT, BCH, CALL, CPN, GPSC, MINT, NSL, SJWD, and TIDLOR
หุ้นเด่นวันนี้ : TACC
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 7.80 บาท
- ยังคงมุมมองผ่านจุดต่ำสุดปี 2023 ผู้บริหารตั้งเป้ารายได้ปี 2024 โต 10% y-y และแนวโน้มต้นทุนรวมค่อนข้างทรงตัวใกล้เคียงปีก่อน แม้น้ำตาลและกาแฟปรับขึ้น แต่ถูกหักล้างด้วยนมและครีมเทียมปรับลง ขณะที่ไม่ต้องรับรู้ขาดทุนบริษัทร่วม TCI ตั้งแต่ 1Q24 เป็นต้นไป หลังถอนการลงทุนแล้วเสร็จใน 4Q23 และหากขายได้แล้วเสร็จ คาดจะมีการกลับรายการด้อยค่าในระยะถัดไป
- ระยะสั้นคาดกำไร 1Q24 จะโตทั้ง q-q, y-y จากรายได้ที่ขายไป 7-Eleven ยังโตสดใสต่อเนื่อง เรายังคาดกำไรปี 2024 กลับมาโต +16% ราคาหุ้นปัจจุบันเทรดเพียง 13 เท่า และคาด dividend yield 7-8% ต่อปี แนะนำ “ซื้อ”
- แนวรับ 4.92-4.90//4.80 บาท แนวต้าน 5.15-5.20//5.40 บาท
Fund Flow : เมื่อวันศุกร์กระแสเงินทุนยังคงไหลเข้าภูมิภาคต่อเนื่องแต่บางลงเหลือ US$574 ล้าน โดยยังกระจุกตัวที่เกาหลีใต้และไต้หวัน US$458 ล้านและ US$138 ล้าน ตามลำดับ ส่วนอาเซียนส่วนใหญ่ไหลออกประเทศละ US$10-19 ล้าน มีเพียงอินโดนีเซียที่ไหลเข้า US$24 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่าจะผสมผสานโดยปริมาณคาดว่าเบาบางลงหลังตอบรับปัจจัยบวกจากการประชุม FED สัปดาห์ก่อนไปแล้วพอสมควร ขณะที่สัปดาห์นี้ตลาดรอ ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อ PCE สหรัฐฯ ช่วงปลายสัปดาห์
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) KTB คาดกำไรสุทธิ 1Q24 ที่ 1 หมื่นลบ. +67% q-q, +1% y-y คิดเป็น 27% ของประมาณการทั้งปี 2024 หนุนจากการตั้งสำรอง ECL และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ชดเชยกับธุรกิจธนาคารที่ซบเซา ด้าน NIM คาดทรงตัว ขณะที่รายได้ที่ไม่ใช้ดอกเบี้ยรับเพิ่มขึ้น q-q เล็กน้อย ความกังวลด้านคุณภาพสินทรัพย์ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ KTB ได้จัดชั้นหนี้ของ ITD เป็น Stage 2 และได้ตั้งสำรองแล้ว 100% เร้าคาด NPL 1Q24 ทรงตัว q-q ยู่ที่ 3.85% และยังคงคาดกำไรสุทธิปี 2024-26 เติบโตเฉลี่ยอยู่ที่ 2-3% ต่อปี ราคาเป้าหมาย 19.90 บาท ด้วย upside ที่เปิดกว้าง และปันผลดีราว 5% ต่อปี จึงปรับเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ”
(+) PRM คาดปี 2024 ขับเคลื่อนด้วยธุรกิจ Offshore ซึ่งโตตามกลุ่มลูกค้าหลักคือกลุ่มบริษัทสำรวจและผลิตน้ำมันดิบในทะเลในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ณ สิ้นปี 2023 บริษัทมีเรือให้บริการ 15 ลำ ในปี 2024 จะเพิ่ม Crew boat 2 ลำใน 2024 และเรือขนส่งเคมีซึ่งจะลดความเสี่ยงในระยะยาวจาก EV โดยปีนี้เตรียมรับเรือเพิ่มอีกอย่างน้อย 2 ลำใน 2H24 คงคาดกำไรปกติโตเฉลี่ย 7% CAGR (2024-26) โตต่ำแต่มั่นคง เพราะสัญญายาว ราคาเป้าหมาย 10 บาท (หากตัดหุ้นซื้อคืนจะเป็น 10.80 บาท) แนะนำซื้อ
(0) DELTA เปิดโรงงานใหม่สำหรับผลิตชิ้นส่วน EV เป็นหลัก โดยโรง 8 ได้เพิ่มกำลังการผลิต EV อีกเท่าตัว จะเริ่ม Operate 2024 ถัดไปจะขยายโรงงานที่นิคมฯเวลโกรว์ เป็นโรงที่ผลิตกลุ่ม Fan, Power supply standard และ Data center รวมถึง AI คาดใช้เงินลงทุนอีกราว 3 พันลบ.ปี 2025 คาดกำลังการผลิตโดยรวมเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เพื่อรองรับการเติบโต และเป็นการกระจายฐานการผลิตออกนอกจีนและไต้หวันของ DELTA group ผู้บริหารให้ภาพโทนบวกสำหรับการเติบโตระยะกลาง-ยาวในธุรกิจ AI ที่แนวโน้มการเติบโตสดใส และหาก DELTA Taiwan สามารถทำได้ตามเป้าโดยต้องการเพิ่มสัดส่วนรายได้ AI เป็น 10% ในปี 2024 จาก 5% ในปี 2023 และถัดไปจะเพิ่มเป็น 20-25% เชื่อได้ว่า DELTA Thailand น่าจะมีทิศทางการเติบโตของ AI ใกล้เคียง Taiwan และธุรกิจชิ้นส่วน EV ยังมองแนวโน้มการเติบโตสดใสมากขึ้น
(+) JPARK คาดกำไรสุทธิ 1Q24 อยู่ที่ 19 ล้านบาท +53% y-y และ +82% y-y จากฐานที่ต่ำในปีก่อน และจำนวนช่องจอดที่เพิ่มขึ้น ประกอบกับมีการรับรู้กำไรจากโครงการติดตั้งระบบที่จอดรถของ รฟม. ที่เลื่อนการส่งมอบงานจาก 4Q23 ราว 5-6 ล้านบาท เข้ามาบันทึกใน ไตรมาสนี้ รวมถึงเริ่มรับรู้รายได้โครงการที่จอดรถบริเวณสนามบินขอนแก่น ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นปรับขึ้นจากธุรกิจ CIPS มี margin ที่สูง และต้นทุนบริการค่อนข้างคงที่ บริษัทตั้งเป้าจำนวนช่องจอดรถยนต์สิ้นปี 2024 แตะ 4 หมื่นช่องจอด ใกล้เคียงกับประมาณการเรา คงคาดกำไรสุทธิปี 2024 +63% y-y คงราคาเป้าหมาย 7.20 บาท ราคาหุ้นที่ปรับลงในช่วงเดือนที่ผ่านมาจนมี upside เปิดกว้าง จึงปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ”
(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 305.47 จุด หรือ -0.77% ปิดที่ 39,475.90 จุด จากแรงขายทำกำไรหลังจากพุ่งขึ้นอย่างมากก่อนหน้านี้ ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดลบเล็กน้อย และดัชนี Nasdaq ปิดขยับขึ้น แต่ดัชนีทั้ง 3 ตัวปรับตัวขึ้นเป็นเปอร์เซ็นต์มากที่สุดในรอบสัปดาห์ในปีนี้ หลังจากเฟดส่งสัญญาณว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง 3 ครั้งภายในปีนี้
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ แต่ยังคงปรับตัวขึ้นเป็นสัปดาห์ที่ 9 ติดต่อกัน หลังจากแตะระดับสูงสุดตลอดกาลระหว่างวันได้อีกครั้งในการซื้อขายช่วงเช้า
(0) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดทรงตัว โดยนักลงทุนจับตามองรายงานเงินเฟ้อจากหลายเศรษฐิจในภูมิภาค
(-) ค่าเงินบาท อ่อนค่า อยู่ที่บริเวณ 36.38 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ +0.20%
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 44 เซนต์ หรือ 0.54% ปิดที่ 80.63 ดอลลาร์/บาร์เรล และทรงตัวในรอบสัปดาห์นี้ ขณะที่ความเป็นไปได้ที่จะมีการหยุดยิงในฉนวนกาซาถ่วงราคาน้ำมันดิบลง แต่สงครามในยูเครนและแท่นขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐที่ลดลงได้ช่วยลดช่วงติดลบของสัญญาน้ำมันดิบ ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 80.92 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.36%
(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 24.70 ดอลลาร์ หรือ 1.13% ปิดที่ 2,160.00ดอลลาร์/ออนซ์ โดยถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ ซึ่งทำให้สัญญาทองคำสกุลเงินดอลลาร์มีราคาแพงขึ้นและลดความน่าดึงดูดใจสำหรับนักลงทุนที่ถือครองสกุลเงินอื่นๆ ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 2,188.00 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.29%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 835.33/ -0.38%