บล.ฟินันเซีย ไซรัส:
SINO LOGISTICS CORPORATION (SINO TB)
เน้นสร้างความแข็งแกร่งให้ธุรกิจหลัก
- กลยุทธ์ปี 2024 ขยายธุรกิจตู้คอนเทนเนอร์ ขยายธุรกิจ Cross border และ Barge เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับ Sea freight ซึ่งเป็นธุรกิจหลัก
- คาดกำไรปี 2024 กลับมาพื้นจากฐานต่ำปีก่อน และเชื่อว่า SCFI ไม่ต่ำไปกว่าปีก่อน
- คงราคาเป้าหมาย 2.00 บาท คงคำแนะนำซื้อ เชื่อว่าธุรกิจผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
สร้างความแข็งแกร่งให้ Core business
กลยุทธ์ปี 2024 ผู้บริหารตั้งเป้าเพิ่มปริมาณการขนส่งสินค้าอีก 14% เป็น 53,000 ตู้โดยการขยายปริมาณตู้ SOC (Shipper Owned Container) ซึ่งเป็นตู้ที่บริษัทเป็นเจ้าของเองและ ISO tank ซึ่งเป็นต้บรรจุของเหลวโดยเฉพาะ เริ่มให้บริการตั้งแต่ปี 2022 ปัจจุบันมีประมาณ 500 tanks ทั้งนี้ เพื่อป้องกันกรณีขาดแคลนต้คอนเทนเนอร์ในตลาด นอกจากนี้บริษัทจะขยายธรกิจ Cross border ต่อเนื่อง ลงทุนเพิ่มขึ้นใน Container yard (ลานตู้คอนเทนเนอร์) ที่มาบตาพุดเพื่อเก็บ ISO tank ของบริษัท การเพิ่มบริการเรือ Barge (เริ่มให้บริการตั้งแต่เดือน ก.ย. 2023) เพื่อขยายปริมาณการขนส่งเส้นทางกัมพูชามาก ขึ้น เรือ Barge กลับมาที่แหลมฉบังเพื่อส่งออกไปยังอเมริกา รวมถึงหาโอกาสในการ M&A ในอนาคต
คาดเริ่มเห็น synergy จาก SJWD ตั้งแต่ปี 2024
ปัจจุบัน SJWD ถือหุ้น SINO 4.2% บริษัทคาดว่าจะได้เห็นความร่วมมือมากขึ้น เช่น SUWD มีปริมาณการขนส่งปีละกว่า 1 แสนตู้ ขณะที่ SINO มีการขนส่งกว่า 4 หมื่นตู้ใน ปี 2023 การร่วมมือกันทำให้ปริมาณการขนส่งเพิ่มขึ้นเป็นกว่า 1.5 แสนตู้ ขณะเดียวกันการที่ SINO จัดตั้งบริษัทย่อยในมาเลเซีย นอกจากจะทำให้ปริมาณการขนส่งเพิ่มมาก ขึ้นจากที่มาเลเซีย ในอนาคตบริษัทยังมีโอกาสขยายไปยังตลาดอื่น เช่น เวียดนาม อินโดนีเซีย ซึ่ง SJWD มีความแข็งแกร่งในประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอยู่แล้ว นอกจากนี้ธุรกิจคลังสินค้าที่ SINO มี 2 แห่งที่แหลมฉบัง ขณะที่คลังสินค้าเป็นหนึ่งธุรกิจหลักของ SJwD บริษัทเชื่อว่าน่าจะมีธุรกิจร่วมกันได้
คาดกำไรปี 2024 ฟื้นแรงจากฐานต่ำผิดปกติในปี 2023
เหตุการณ์ในทะเลแดงทำให้เรือขนส่งสินค้าต้องเดินทางอ้อมแหลมกัดโฮป ระยะเวลาที่ยาวินานขึ้น ทำให้ค่าขนส่งและค่าประกันภัยปรับตัวสูงขึ้น แม้จะเป็นเหตุการณ์ชั่วคราวแต่ส่งผลบวกทางอ้อมต่ออัตราค่าระวางโลกในระยะเวลาหนึ่ง และแม้ว่าค่าระวางจะเริ่มปรับลงในระยะนี้ แต่บริษัทเชื่อว่า SCFI ไม่น่าต่ำไปกว่า 1,700 จุดมากนัก ทั้งนี้ เราได้ปรับประมาณการไปก่อนหน้านี้แล้ว โดยคาดกำไรปี 2024 +146% y-y เป็น 130 ล้านบาทฟื้นจากฐานต่ำ และเพิ่มขึ้น 21%/12% ในปี 2025-26 ตามลำดับ
คงราคาเป้าหมาย 2.00 บาท คงคำแนะนำซื้อ
เราคงราคาเป้าหมาย 2.00 บาท อิง 2024E P/E 16 เท่า คงคำแนะน ำซื้อ เชื่อว่าธุรกิจ ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว การที่ SINO มีความชำนาญในเส้นทางไทย-อเมริกา เชื่อว่าน่าจะฟื้นตัวได้เร็วกว่าแถบเอเชีย เนื่องจากเศรษฐกิจสหรัฐที่ยังคงแข็งแกร่ง ทั้งนี้ SINO จะจ่ายเงินปันผล 0.014423 บาท/หุ้น (yield 1%%) XD 2 พ.ค.
Investment thesis
ปี 2023 เป็นปีที่ยากลำบากสำหรับธุรกิจ Freight forwarder โดยสถานการณ์กลับข้างจากปี 2022 โดยสิ้นเชิง อย่างไรก็ตาม เราเชื่อว่าสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุดได้ผ่านไปแล้ว แม้ว่าความผันผวนจะยังมีอยู่ แต่เชื่อว่าเศรษฐกิจที่จะทยอยปรับตัวดีขึ้นจะช่วยหนุนค่าระวางให้มีเสถียรภาพมากกว่าในปัจจุบัน ในขณะที่ SINO มีความชำนาญในเส้นทางไทย-อเมริกาเหนือซึ่งเชื่อว่าน่าจะพื้นตัวได้เร็วกว่าฝั่งเอเชีย คำแนะนำซื้อจึงอยู่บนสมมติฐานว่าบริษัทผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว การฟื้นตัวจะค่อยเป็นค่อยไป
Company profile
กลุ่ม SINO ประกอบธุรกิจรับจัดการขนส่งสินค้าระหว่างประเทศ (Freight forwarder) แบบครบวงจร (Integrated Logistics Services) ทั้งทางทะเล (Sea freight) ในรูปแบบของการขนส่งแบบเต็มตู้ (Full Container Load “FCL”) และแบบไม่เต็มตู้ (Less Than Container Load “LCL”) การขนส่งทางอากาศ (Air freight) และการขนส่ง ต่อเนื่องหลายรูปแบบ (Multimodel transport operation) ตอบสนองความต้องการของลูกค้าตั้งแต่ต้นทางถึงปลายทางทั่วโลก (End-to-end global logistics) รวมถึงการให้บริการให้เช่าคลังสินค้า การให้บริการขนส่งทางบก การให้บริการด้านพิธีการศุลกากร และบริการสนับสนุนอื่นๆ เพื่อให้บริการด้านโลจิสติกส์อย่างครบวงจร
Catalysts
ปัจจัยหนุนการเติบโตได้แก่ 1) การฟื้นของเศรษฐกิจและการค้าโลก 2) ราคาค่าระวางเรือที่มีสเถียรภาพ ไม่มีสงครามหรือความรุนแรงอื่นใด 3) การแข่งขันชะลอความรุนแรง
Risks to our call
Downside risks to our DCF-based TP include 1) ความผันผวนของราคาค่าระวาง 2) เศรษฐกิจและการค้าโลกไม่เติบโตตามคาด 3) สงคราม 4) ความผันผวนของราคาน้ำมัน