Daily Focus: Domestic Play // Hold after Accumulated
2024 SET Target : 1470
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวขี้ร้อนแรงกว่าที่คาดมาก ปิดบวกถึง 25.53 จุด ที่ระดับ 1401.11 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นขึ้นเป็น 4.8 หมื่นลบ. หนุนโดยหุ้นขนาดใหญ่ทั้งกลุ่ม อิเล็กทรอนิกส์ อสังหาฯ โรงไฟฟ้า ค้าปลีก เป็นต้น สถาบันในประเทศขายสุทธิในตลาดหุ้น 402 ลบ. แต่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิสูงถึงกว่า 6 พันลบ.(และ Long Index Futures สุทธิสูงถึง 7.66 หมื่น สัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index มีโอกาสแกว่งตัวขึ้นต่อเนื่อง โดยมีโอกาสลุ้นทะลุผ่านแนวต้าน 1,405 จุด จากทั้งปัจจัยเทคนิคที่เป็นบวกหลังดัชนีทะลุผ่านแนวต้านเส้นต้นทุนค่าเฉลี่ย 10-75 วัน ขึ้นได้ ทำให้มีลุ้นปรับขึ้นต่อเนื่องทดสอบเส้นระยะยาว 200 วันบริเวณ 1,438 จุด ขณะที่ Fund Flow เริ่มเห็นสัญญาณการกลับมาไหลเข้าหนุนค่าเงินบาทเริ่มพลิกมาแข็งค่า ปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามวันนี้ ได้แก่ การแถลงความชัดเจนของนโยบายเงินดิจิทัล การประชุมกนง. (เราคาดว่าจะคงดอกเบี้ยที่ 2.5%) และตัวเลขเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯเดือน มี.ค. (ตลาดคาด Headline +3.4% y-y และ Core +3.7% y-y) โดยวันนี้หากกนง.ลดดอกเบี้ยทันทีจะ Surprise ตลาดและเป็นแรงหนุน ส่วนภาพรวมเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวชัดเจนขึ้น ทั้งจากงบฯ 67 ที่จะถูกเร่งเบิกจ่าย มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล และโอกาสลดดอกเบี้ยของกนง. 2 ครั้งในปีนี้ เราจึงยังคงมุมมองว่า SET Index ซึ่งเป็น Leading Indicator มีแนวโน้มว่าได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วงก่อนหน้า และจะทยอยฟื้นตัวในช่วงที่เหลือของปี
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่แนวโน้มกำไรปี 2024 แข็งแกร่งและเทรด PER/PBV ต่ำเทียบกับ Pre-Covid // ถือลงทุนหลังสะสมหุ้นเพิ่มบริเวณ 1,350+- จุด
หุ้นเด่นเดือน เม.ย.: BA, CPALL, CPN, ITC, TIDLOR
FSSIA Portfolio: AOT, BCH, CALL, CPN, GPSC, NSL, SHR, SJWD, and TIDLOR
หุ้นเด่นวันนี้ : TIDLOR
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 27 บาท
- เบื้องต้นเราคาดว่ากำไร 1024 จะฟื้นตัว q-q ได้ หลังมีการตั้งสำรองที่สูงขึ้นใน 4Q23 ขณะที่การประชุมกนง.ในเดือน เม.ย. หากปรับลดดอกเบี้ยลงจะ Surprise ตลาดและเป็นบวกต่อกลุ่มไฟแนนซ์
- Guidance เป้าหมายธุรกิจปี 2024 ตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 10-20% y-y NPL ที่ 1.4-1.8%, Credit cost ที่ 3.29% และ cost to income ratio ที่ 55% ซึ่งส่วนใหญ่ใกล้เคียงกับประมาณการของเราอย่างไรก็ดีบริษัทยังมีความกังวลต่อผลขาดทุนรถยึดยังมีอยู่ต่อเนื่อง เรายังคงประมาณการกำไรปี 2024 เติบโต 19% y-y
- แนวรับ 22//21.50 บาท แนวต้าน 22.60//23.30-23.40 บาท
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคสุทธิหนาแน่น US$929 ล้าน นำโดยไต้หวันและเกาหลีใต้ US$551 ล้านและ US$212 ล้าน ตามลำดับ ส่วนอาเซียนไหลเข้าไทยหนาแน่น US$166 ล้าน ตามทิศทางค่าเงินสกุลเอเชียที่เริ่มขยับแข็งค่าขึ้นเทียบกับดอลลาร์ อย่างไรก็ตามตลาดรอจับตาตัวเลขเงินเฟ้อ CPI สหรัฐฯเดือน มี.ค. คืนนี้
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) กลุ่มอสังหาฯ กระทรวงการคลังเผยครม.เห็นชอบมาตรการกระตุ้นอสังหาฯ 5 ข้อ ดังนี้ 1) ลดค่าธรรมเนียมโอนจาก 2% เหลือ 0.01% และค่าจดจำนองจาก 1% เหลือ 0.01% สำหรับราคาที่อยู่อาศัยไม่เกิน 7 ลบ. ถึง 31 ธ.ค. 2024 2) มาตรการลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาสำหรับผู้ต้องการปลูกสร้างบ้าน 1 หมื่นบาทต่อทุกค่าก่อสร้าง 1 ลบ. แต่รวมไม่เกิน 1 แสนบ. 3) โครงการสินเชื่อบ้านของธอส. Happy Home สนับสนุนสินเชื่อให้ผู้มีรายได้น้อยถึงปานกลางในอัตราดอกเบี้ยคงที่ 3% เป็นเวลา 5 ปี วงเงินกู้ไม่เกิน 3 ลบ. 4) โครงการสินเชื่อบ้านของธอส. Happy Life ให้อัตราดอกเบี้ยเฉลี่ย 3 ปีแรก 2.98% วงเงินกู้ไม่เกิน 2.5 ลบ. 5) โครงการบ้าน BOI ที่อยู่อาศัยสำหรับผู้มีรายได้น้อย โดยให้สิทธิประโยชน์แก่ผู้ประกอบการอสังหาฯ ได้รับการยกเว้นภาษีเงินได้นิติบุคคล 3 ปี โดยมีเงื่อนไขราคาไม่เกิน 1.5 ลบ. ยื่นขอรับถึงสิ้นปี 2025 โดยรวมเป็น Sentiment เชิงบวก มาตรการที่มีน้ำหนักสุด คือ การลดค่าธรรมเนียมโอนและจดจำนองที่เพิ่มราคาที่อยู่อาศัยเป็นไม่เกิน 7 ลบ. ซึ่งจะครอบคลุม 80% ของตลาดรวม และช่วยกระตุ้นตลาดได้บางส่วน โดยเราประเมิน AP, SPALI เป็นผู้ได้รับประโยชน์มากกว่ารายอื่นจากพอร์ตใหญ่ในกลุ่ม 3-7 ลบ. รวมถึงมีโครงการที่ขายและโอนทันภายในปีนี้ ส่วนโครงการบ้าน BOI มองว่าไม่จูงใจต่อการพัฒนาโครงการนัก เนื่องจากค่าใช้จ่ายภาษีเป็นสัดส่วนน้อยของต้นทุน รวมถึงเป็นกลุ่มลูกค้ามีกำลังซื้อเปราะบางและ Rejection สูง
(+) AEONTS กำไร 4QFY23 ออกมาดีกว่าคาด 43% ที่ 1.1 พันลบ. +55% q-q, +58% y-y จากสำรอง ECL และ Credit Cost ที่ต่ำกว่าคาด แต่ด้าน PPROP ยังชะลอตัวตามคาด คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้นจากการ Write-off และการผ่อนปรนในเชิงนโยบาย แนวโน้ม 1QFY24 คาดว่าจะเชื่อจะกลับมาเติบโต แต่จะหนุนให้ ECL และ Credit Cost ขยับขึ้นเช่นกัน เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรขึ้นเล็กน้อย 2-3% จาก Credit Cost ที่ลดลง ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 170 บาท แต่ยังแนะนำ “ถือ” (ประธานกรรมการของ FINANSIA SYRUS ดำรงตำแหน่งกรรมการของ AEONTS)
(+) SCGP เราคาดกำไร 1Q24 ที่ 1.4 พันลบ. +8% q-q, +34% y-y ดีสุดในรอบ 6 ไตรมาส หนุนจาก Demand ของบรรจุภัณฑ์ฟื้นดีมากในทุกประเทศ แม้ว่าต้นทุนจะปรับขึ้นแต่บริษัทสามารถปรับขึ้นราคาขายชดเชย แนวโน้ม margin 1Q24 ดีขึ้น ทั้งธุรกิจบรรจุภัณฑ์และธุรกิจเยื่อและกระดาษ ต้นทุนพลังงานที่ขยับขึ้นใน 1Q24 มีแนวโน้มดีขึ้นใน 2Q24 ตามการปรับลงของราคาถ่านหิน อย่างไรก็ตาม เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2024-26 ลง 5-11% คิดเป็นการเติบโต +13% CAGR แต่ยังคงเชื่อว่าปีนี้เป็นปีที่ SCGP ทยอยฟื้นตัว ปรับลดราคาเป้าหมายเหลือ 43 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”
(+) EPG เรามองกลุ่มธุรกิจของบริษัทมีความเสี่ยงจากราคาเคมีจำกัด เนื่องจากมีแค่ EPP ที่อาจประสบปัญหาจากต้นทุนโพลิเมอร์ที่สูงขึ้น เราคาดกำไรปกติ 4QFY24 ที่ 350 ลบ. -14% q-q, +22%y-y โดยมีปัจจัยกดดันจากค่าใช้จ่ายการขายและบริหารที่สูงขึ้น โดยคาดทั้งปี FY24 +7% y-y ส่วนปี 2025-26 ยังคาดกำไรโตเฉลี่ยปีละ 6.5% คงราคาเป้าหมายที่ 11 บาท แนะนำ “ซื้อ”
(+) SC ยอด Presales 1Q24 ทำได้ 5.96 พันล้านบาท -18% q-q แต่ +15% y-y คิดเป็น 21% ของเป้าปีนี้ หนุนจากยอดขายคอนโดเพิ่มขึ้นขับเคลื่อนด้วยอุปสงค์ชาวต่างชาติ คาดกำไร 1Q24 เบื้องต้นราว 350-400 ลบ. ชะลอลง q-q, y-y ตามยอดโอนลดลงตามปัจจัยฤดูกาลและฐานสูง คงประมาณการ ปี 2024 ทรงตัว y-y ที่ 2.5 พันลบ. และยังคราคาเป้าหมายที่ 4.40 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”
(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 9.13 จุด หรือ -0.02% ปิดที่ 38,883.67 จุด ท่ามกลางการซื้อขายที่ซบเซา ก่อนที่สหรัฐจะเปิดเผยดัชนี CPI ในวันนี้ และรายงานผลประกอบการของธนาคารรายใหญ่ของสหรัฐซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกน ในวันศุกร์นี้
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ โดยถูกกดดันจากแรงเทขายหุ้นของบริษัทที่เกี่ยวกับการผลิตอาวุธ ขณะที่นักลงทุนชะลอการเข้าซื้อหุ้นเพื่อรอการเปิดเผยข้อมูลเงินเฟ้อของสหรัฐ และการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของ ECB ในสัปดาห์นี้
(0) ตลาดหุ้นเอเชีย ทรงตัว ก่อนการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อผู้ผลิตของญี่ปุ่น และผลการประชุมนโยบายการเงินของไทยและนิวซีแลน
(+) ค่าเงินบาท แข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 36.29 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -1.13%
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 1.20 ดอลลาร์ หรือ 1.4% ปิดที่ 85.23 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากมีรายงานว่าการเจรจาหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและกลุ่มฮามาสยังคงดำเนินต่อไป ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐในวันนี้ เพื่อประเมินแนวโน้มอุปสงค์น้ำมัน ในขณะที่เช้านี้ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 85.25 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.02%
(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 11.40 ดอลลาร์ หรือ 0.48% ปิดที่ 2,362.40ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนยังคงเข้าซื้อทองคำอย่างคึกคัก ท่ามกลางความเสี่ยงด้านภูมิรัฐศาสตร์ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการเปิดเผยดัชนี้ CPI และรายงานการประชุมของเฟด เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับช่วงเวลาที่เฟดจะเริ่มปรับลดอัตราดอกเบี้ย ในขณะที่เช้านี้ขึ้นอยู่ที่ระดับ 2,368.20 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.25%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 828.71/ +0.10%