สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA) จัด Class Action สัญจร จังหวัดชลบุรี เป็นครั้งที่ 3 ดึงทนายความอาชีพทั่วภาคตะวันออก ครอบคลุม 10 จังหวัด ร่วมอบรม หลักการ เหตุผล และเงื่อนไข ของการดำเนินคดีแบบกลุ่มคดีเกี่ยวกับตลาดหลักทรัพย์ รับข้อมูลและแนวทางปฏิบัติตรงจากผู้พิพากษาศาลสูง อบรมจบรับวุฒิบัตร ทันที่ ใช้ เป็นใบเบิกทางเข้าสู่ทนายความที่ผ่านการอบรมความรู้คดีด้านตลาดทุน
คุณยิ่งยง นิลเสนา นายก สมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทย (TIA) องค์กรตัวแทนผู้ถือหุ้นรายบุคคล ทำหน้าที่ สนับสนุนการพัฒนาตลาดทุน เพื่อความยั่งยืน ที่อยู่คู่ตลาดทุนไทยมากว่า 35 ปี เปิดเผยว่า แผนงานสมาคมปีนี้ยังคงให้ความสำคัญในการให้ความรู้เรื่อง การดำเนินคดีแบบกลุ่ม (Class Action) อย่างต่อเนื่องซึ่งปีนี้ได้จัดสัญจร 4 ภาค ใน 9 จังหวัด ที่ผ่านมาดำเนินการมาแล้ว 2 จังหวัดและครั้งที่ 3 จัดที่จังหวัดชลบุรี ได้รับความสนใจจากทนายความอาชีพเข้าร่วมอบรมในหลัก 100 ราย และเมื่อรวมกับการสัญจรที่ผ่านมา มีทนายความอาชีพได้ผ่านการอบรมประมาณ 300 กว่าคนแล้ว ซึ่งก็คาดหวังว่า การฟ้องคดีแบบกลุ่ม – Class Action จะเป็นเครื่องมือในการปกป้องนักลงทุนที่ได้รับความไม่เป็นธรรมจากการลงทุน
คุณสิริพร จังตระกูล เลขาธิการสมาคมส่งเสริมผู้ลงทุนไทยกล่าวเพิ่มเติม ว่า การจัด Class Action สัญจร ปีนี้ ทาง TIA ได้รับการสนับสนุนด้านงบประมาณทั้งหมดจาก กองทุนส่งเสริมการพัฒนาตลาดทุน (CMDF )เป้าหมายของการจัดสัญจรให้ความรู้เชิงลึกทั้งทางทฤษฎีและแนวทางปฎิบัติและการนำมาใช้ในอาชีพจริง ให้กับทนายความอาชีพทั่วประเทศไทย ในการนำกฎหมาย Class Action มาใช้ในตลาดทุนไทย เพื่อเป็นเครื่องมือในการดูแลและปกป้องนักลงทุน ดังนั้นการเติมความรู้ ความเข้าใจ เกี่ยวกับธุรกิจหลักทรัพย์ เพื่อเป็นส่วนสำคัญให้การบังคับใช้กฏหมายมีประสิทธิภาพ
“การเดินหน้าให้ความรู้ Class Action กับทนายความอาชีพเป็นไปตามเจตนารมย์ร่วม และเป็นเรื่องต่อเนื่อง จากการที่ทาง TIA ได้ทำ MOU กับ สภาทนายความในพระบรมราชูปถัมถ์เมื่อปีที่ผ่านมา”เลขาธิการสมาคมกล่าว
คุณสิริพร กล่าวว่า การสัญจรและอบรมเรื่อง Class Action ครั้งนี้ ช่วงเช้าทนายความอาชีพที่เข้าอบรม หัวข้อ “ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับคดีกลุ่ม” บรรยายโดย ท่านภุชพงศ์ จรัสทรงกิติ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ และช่วงบ่าย หัวข้อ “การดำเนินคดีแบบกลุ่มในคดีหลักทรัพย์” บรรยายโดย ท่านสรวิศ ลิปรังษี ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลสำนักประธานศาลฏีกา
ซึ่งถือว่าเป็นการเรียนตรงจากท่านผู้พิพากษาศาลสูง จบการบรรยายจะเป็นการสอบวัดผลประมวลความรู้ ประเมินกระบวนการวิชาชีพ พร้อมให้วุฒิบัตรกับผู้เข้าอบรม เพื่อจะเป็นการยืนยันว่าตลาดทุนไทยจะมีทนายความอาชีพที่มีความรู้ด้านคดีตลาดทุน
ด้าน คุณชลิต ขวัญแก้ว กรรมการบริหารสภาทนายความภาค 2 (มีอำนาจบริหารภายในเขตอำนาจศาลจังหวัดชลบุรี พัทยา ระยอง จันทบุรี ตราด สระแก้ว ปราจีนบุรี กบินทร์บุรี นครนายก ฉะเชิงเทรา) กล่าวว่า ต้องขอบคุณ TIA ที่จัดสัญจรให้ความรู้กับทนายความอาชีพเกี่ยวกับการดำเนินคดีแบบ Class Action เพราะในยุคการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ทนายความต้องมีการปรับตัว เพิ่มความรู้ใหม่ๆ เข้ามาและเป็นการเพิ่มโอกาสในอาชีพให้กับทนายความ อีกทั้งจะเป็นการเชื่อมร้อยกลุ่มคนเข้าด้วยกันอย่างไร้รอยต่อในการทำคดีในเรื่องต่าง ๆ โดยเฉพาะคดีด้านตลาดทุน และเป็นการเติมความรู้ที่ดีให้กับทนายเพื่อเข้าไปมีส่วนร่วมในการสร้างความเป็นธรรมให้เกิดขึ้นในตลาดทุน
ท่านภุชพงศ์ จรัสทรงกิติ ผู้พิพากษาศาลอุทธรณ์ กล่าวบรรยายว่า การดำเนินคดีแบบกลุ่ม (Class Action) ต้องยอมรับว่าเป็นกฎหมายใหม่ และในระบบศาลยุติธรรมยังไม่มีคำตัดสินที่เป็นที่สุด ของศาลฎีกา ดังนั้นในระบบศาลยุติธรรมเองก็ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ โดยได้มีการจัดอบรมให้กับผู้ช่วยผู้พิพากษาและเจ้าพนักงานเพื่อให้เข้าใจเกี่ยวกับกฎหมายนี้ เพื่อจะทำให้กฎหมายบังคับใช้ได้ดี
“สำคัญมากในการทำคดีแบบกลุ่มทนายโจทก์ จะต้องเขียนคำร้องและคำฟ้องให้ชัดเจนครอบคลุม สามารถคุ้มครองสิทธิของสมาชิกกลุ่มได้อย่าเบิกความลอย ๆ เพราะมีโอกาสสูงมากที่จะถูกยกฟ้อง”
ท่านภุชพงศ์ กล่าวว่า การดำเนินคดีแบบกลุ่มจะครอบคลุมคดี ทั้งคดีการตกแต่งบัญชี, คดีเกี่ยวข้องกับคอนโดมิเนียม เช่น การก่อสร้างล่าช้า, คดีสิ่งแวดล้อม และเครื่องบินตก เป็นต้น
นอกจากนี้ในการบรรยายได้หยิบยกตัวอย่างและการเขียนคำฟ้องและการบรรยายคำฟ้อง ให้ทนายที่เข้าร่วมอบรมได้นำไปเทียบเคียงในการเขียนคำร้องและคำฟ้องเพราะถือเป็นประเด็นสำคัญ
ท่านสรวิศ ลิปรังษี ผู้พิพากษาหัวหน้าศาลสำนักประธานศาลฎีกา กล่าวว่า กฎหมาย Class Action ในประเทศไทยเกิดขึ้นจาก
การที่ สำนักงานคณะกรรมกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต) ยื่นขอแก้ไข พ.ร.บ. หลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์แบบเปิดโอกาสให้มีการดำเนินคดีแบบกลุ่ม เกิดขึ้นในตลาดทุน แต่เมื่อเข้าสู่การพิจรณาของกฤษฎีกามีความเห็น ว่า Class Action สามารถนำมาใช้กับคดีประเภทอื่น ๆ ได้นอกเหนือคดีหลักทรัพย์
“ประเทศไทย Class Action ยังไปได้ไม่ไกลนัก เพราะเป็นเรื่องใหม่แต่ในต่างประเทศ โดยเฉพาะที่สหรัฐกฎหมายนี้เป็นที่นิยมมาก และในการทำคดีนั้นน้ำหนักของคดีและพยานหลักฐานเป็นเรื่องสำคัญมากต่อคดี”
ท่าน สรวิศ กล่าวว่า การดำเนินคดีแบบกลุ่มจะต่างจากคดีสามัญเพราะเมื่อโจทก์ได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีแบบกลุ่มแล้วคนนอกวงที่ไม่ได้เป็นสมาชิกกลุ่มก็จะได้รับสิทธิเหมือนกัน ซึ่งในกรณีชนะก็จะไม่มีปัญหาสามารถรับชำระหนี้ในคดีได้ แต่ถ้าแพ้จะไม่สามารถฟ้องซ้ำได้ เพราะกฎหมายกำหนดไว้ชัดจะฟ้องซ้ำไม่ได้ รวมถึงกรณีการตกลงประนีประนอมระหว่างโจทก์และจำเลยจะส่งผลต่อสมาชิกและผู้เสียหายนอกวงเพราะผลของการของการดำเนินคดีแบบกลุ่มจะผูกพันสมาชิกทั้งหมดซึ่งเป็นเรื่องต้องระวัง
นอกจากนี้กฎหมาย Class Action จะนำมาใช้กับกรณีการสร้างราคาหรือปั่นหุ้นได้ และให้ใช้สารตั้งต้นจากหน่วยงานกำกับที่ดำเนินคดีทางอาญาอยู่แล้วมาใช้เป็นหลักฐานในการยื่นขอดำเนินคดีแบบกลุ่มเพราะหากให้เริ่มต้นเองอาจเชื่อมโยงพฤติกรรมของการส่งคำสั่งหรือการสร้างราคาได้ลำบาก และสำคัญทนายที่ทำคดี Class Action ถ้าเป็นผู้ลงทุนด้วยจะทำให้การทำคดีได้ดี