SMPC เทิร์นอะราวด์ Q1/67 กำไรพุ่งกว่า 221% รายได้โต 40% ชูกลยุทธ์เน้นเพิ่มการขายผลิตภัณฑ์ถังทนความดันต่ำประเภทอื่น เพิ่มมาร์จิ้น
SMPC ผลประกอบการเทิร์นอะราวด์ ไตรมาสแรกปีนี้ โกยกำไร 154.29 ลบ. เพิ่มขึ้น 221.5% รายได้อยู่ที่ 1,143.63 ลบ. เพิ่มขึ้น 40.1% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ชูกลยุทธ์การขายโดยเน้นเพิ่มการขายผลิตภัณฑ์ถังทนความดันต่ำประเภทอื่นๆ เพิ่มมาร์จิ้น ลุยขยายตลาดในภูมิภาคที่หลากหลายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง หนุนยอดขายเติบโต 20% ตามแผน
นายสุรศักดิ์ เอิบสิริสุข ประธานกรรมการบริหาร และกรรมการผู้จัดการ บริษัท สหมิตรถังแก๊ส จำกัด (มหาชน) หรือ SMPC ประกอบธุรกิจผลิตถังทนความดันแบบต่างๆ โดยผลิตภัณฑ์หลักเป็นถังสำหรับบรรจุแก๊สปิโตรเลียมเหลว (LPG) เพื่อใช้เป็นเชื้อเพลิงหุงต้ม และสำหรับใช้เป็นแหล่งพลังงานรถยนต์ โดยจำหน่ายภายในและต่างประเทศ ภายใต้เครื่องหมายการค้า “SMPC” รวมทั้งรับจ้างผลิตภายใต้เครื่องหมายการค้าต่างๆ เปิดเผยว่า ผลประกอบการของบริษัทฯ งวดไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัทฯ มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 154.29 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 106.30 ล้านบาท หรือคิดเป็น 221.5% จากงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไร 47.99 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายที่เพิ่มขึ้น อัตราการทำกำไรเพิ่มขึ้น และรายได้อื่นเพิ่มขึ้น สุทธิกับต้นทุนขายและค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น
มียอดขายรวมอยู่ที่ 1,143.63 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 327.60 ล้านบาท หรือคิดเป็น 40.1% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มียอดขาย 816.03 ล้านบาท เนื่องจากงวดเดียวกันของปีก่อนยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจโลกหดตัว และจากภาวะเงินเฟ้อรุนแรง ลูกค้าจึงได้ชะลอการซื้อ ปัจจุบันสถานการณ์เริ่มดีขึ้น ลูกค้าจึงกลับมาสั่งซื้อตามปกติ ทำให้ปริมาณขายเพิ่มขึ้นจากงวดเดียวกันของปีก่อน 41% ทางด้านราคาขายแม้ว่าราคาเหล็กลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อน 18% แต่ราคาขายลดลงจากงวดเดียวกันของปีก่อนเล็กน้อย เนื่องจากปีที่ผ่านมามีสถานการณ์การแข่งขันด้านราคาสูงในบางตลาด ทำให้บริษัทต้องลดราคาบางส่วน ประกอบกับในงวดไตรมาส 1/2567 ค่าเงินบาทอ่อนค่าลง ส่งผลดีต่อบริษัทในฐานะผู้ส่งออก
“ผลประกอบการที่ออกมาในไตรมาส 1/2567 เป็นที่น่าพอใจทั้งรายได้และกำไร โดยกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 226.67 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 114.4% เทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 105.72 ล้านบาท สอดคล้องกับยอดขายที่เพิ่มขึ้น เป็นผลจากคำสั่งซื้อและยอดขายที่เพิ่มขึ้น 40% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน ทำให้ต้นทุนผลิตต่อหน่วยลดลง ประกอบกับค่าเงินบาทอ่อนค่าลงและต้นทุนวัตถุดิบหลัก (เหล็ก) ลดลงตามราคาตลาด ทำให้อัตราการทำกำไรดีขึ้น โดยมีอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นจาก 13.0% เป็น 19.8%” นายสุรศักดิ์ กล่าว
สำหรับแนวโน้มผลประกอบการในปี 2567 คาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวและมีการเติบโตที่ดี ทั้งนี้บริษัทยังคงนโยบายและกลยุทธ์ในการขาย โดยเน้นเพิ่มการขายผลิตภัณฑ์ถังทนความดันต่ำประเภทอื่นๆ นอกเหนือจากถังแก๊สสำหรับใช้ตามครัวเรือนที่เป็นผลิตภัณฑ์หลักในปัจจุบัน และเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีผู้ผลิตน้อยรายแต่มีโอกาสเติบโตสูง เพื่อรักษาอัตราการทำกำไรของบริษัทให้อยู่ในระดับที่น่าพอใจ ในขณะเดียวกันยังคงเร่งเข้าไปทำการตลาดในภูมิภาคที่หลากหลายเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งขยายตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์ถังใหม่ซึ่งพัฒนาสำเร็จ และได้รับการรับรองมาตรฐานตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา เพื่อเพิ่มยอดขายและอัตราการทำกำไร
อย่างไรก็ดี ปี 2567 นี้ บริษัทคาดยอดขายจะเติบโตไม่น้อยกว่า 20% จากปีก่อน โดยการเติบโตจะมาจากสัญญาณความต้องการสินค้าที่เพิ่มขึ้นกว่าปีที่ผ่านมา เห็นได้จากคำสั่งซื้อในไตรมาส 1 ปี 2567 ที่เพิ่มขึ้นมากกว่า 40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน รวมไปถึงการบุกตลาดถังพัฒนาใหม่ ถังขนาดใหญ่และถังประเภทอื่นที่มีอัตราการทำกำไรดี ซึ่งเป็นกลยุทธ์ในการกระจายความเสี่ยง รวมถึงการรักษาระดับมาร์จิ้นของบริษัทให้ดีขึ้นได้