ORN ปลื้ม Q1/67 โกยยอดขาย 404.66 ล้านบาท ตุนแบ็คล็อก 898 ล้านบาท ทยอยรับรู้รายได้ไตรมาส 2 ปีนี้
ORN เผยไตรมาส 1/67 กวาดยอดขายโครงการบ้าน-คอนโดฯ รวม 404.66 ล้านบาท สะท้อนความต้องการที่อยู่อาศัยจ.เชียงใหม่ขยายตัว โชว์จุดเด่นทำเลศักยภาพ ดีไซน์ตอบโจทย์ความต้องการคนในพื้นที่และลูกค้าต่างชาติ เดินหน้าอัดโปรโมชันกระตุ้นยอดขายเพิ่ม ขณะที่ผลการประกอบการไตรมาส 1/67 รายได้รวม 196.66 ล้านบาท กำไร 10.42 ล้านบาท แบ็คล็อกแน่น 898 ล้านบาท เริ่มทยอยรับรู้รายได้ไตรมาส 2 ปีนี้
นายปรีดิกร บูรณุปกรณ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อรสิริน โฮลดิ้ง จํากัด (มหาชน) หรือ ORN เปิดเผยว่า ในช่วงไตรมาส 1 ปี 2567 บริษัทมียอดขายพรีเซล โครงการอสังหาริมทรัพย์แนวราบ-แนวสูงในจ.เชียงใหม่ มูลค่ารวม 404.66 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 74.92 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 22.72% จากช่วงเดียวกันปีก่อน โดยแบ่งเป็นยอดขายโครงการแนวราบ มูลค่า 87.28 ล้านบาท ได้แก่ โครงการบีลีฟ วงแหวนสันกำแพง, โครงการบีลีฟรวมโชค , โครงการอรสิรินวิลล์ โชตนา , โครงการอรสิรินวิลล์ ท่ารั้ว
โครงการแนวสูง มูลค่า 317.37 ล้านบาท ได้แก่ โครงการดิแอสตราคอนโด , โครงการแอสตร้าสกายริเวอร์ โครงการเดอะเน็กซ์เจ็ดยอด , โครงการเดอะเน็กซ์ 1 , โครงการเดอะเน็กซ์ 2 และโครงการอะไรซ์ เจริญเมือง
ทั้งนี้ยอดขายส่วนใหญ่มาจากโครงการอะไรซ์ เจริญเมือง คอนโดมิเนียม High-Rise 19 ชั้น 469 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,050 ล้านบาท ถือเป็น Flagship อีกหนึ่งโครงการของกลุ่มบริษัท ตั้งแต่เปิดตัวใน เดือน ก.ค. 2566 จนถึง มี.ค. 2567 มียอดขายแล้วจำนวน 631 ล้านบาท จำนวน 199 ยูนิต หรือ 42% ของจำนวนยูนิตทั้งหมด กลุ่มลูกค้าที่ให้ความสนใจแบ่งเป็น ลูกค้าชาวต่างชาติ 79% ลูกค้าชาวไทย 21% คาดว่าโครงการจะก่อสร้างแล้วเสร็จ พร้อมส่งมอบและโอนกรรมสิทธิ์ให้ลูกค้าภายในไตรมาสที่ 2/2568
“ความต้องการที่อยู่อาศัยของกลุ่มลูกค้าในเชียงใหม่ จังหวัดใกล้เคียง ตลอดจนกลุ่มลูกค้าต่างชาติ ยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับโครงการของ ORN มีจุดเด่นด้านทำเลศักยภาพ ดีไซน์ที่ตอบโจทย์การอยู่อาศัย ส่งผลให้โครงการของกลุ่มบริษัทมีกระแสตอบรับที่ดีเกินคาดในช่วงไตรมาสแรก ซึ่งในช่วงต่อจากนี้บริษัทยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์การตลาด จัดโปรโมชันกระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง”นายปรีดิกร กล่าว
สำหรับผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2567 มีรายได้รวม 196.66 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีรายได้รวม 496.48 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 10.42 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีกำไรสุทธิ 102.45 ล้านบาท
สาเหตุที่ผลประกอบการปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจากจากยอดการโอนกรรมสิทธิ์ชะลอตัวตามสภาวะเศรษฐกิจในประเทศ ซึ่งยังคงเผชิญกับภาวะกดดันด้านเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่สูง ส่งผลต่อการพิจารณาให้สินเชื่อของสถาบันการเงินต่อลูกค้า อย่างไรก็ตามบริษัทฯ มียอดขายรอรับรู้รายได้ (Backlog) 898 ล้านบาท คาดว่าจะสามารถรับรู้รายได้เข้ามาเพิ่มในไตรมาสที่ 2/2567 เป็นต้นไป