รื้อฟื้น เพื่อพลิกฟื้น / 1,370-1,385

มุมมองตลาดหุ้นวันนี้

  • SET เปิดโดดขึ้นและค่อยๆ หมดแรง: แรงหนุนจากความพยายามรื้อฟื้น LTF และลุ้นเพิ่มเติมจากการประชุมครม. หากแต่ถูกลดทอนจากความกังวลนโยบายการเงินตึงตัวของเฟต หลังผู้บริโภคสหรัฐเพิ่มคาดการณ์เงินฟ้อ ทั้งนี้ มอง SET Index จะได้ Sentiment หนุนจากการที่รองนายกฯ และรมว.คลังเผยอยู่ระหว่างศึกษาการนำกองทุน LTF กลับมา โดยจะมีความชัดเจนภายในเดือนนี้หรือเดือนหน้า ทั้งนี้ที่ผ่านมาพบว่ากองทุน LTF มีเงินหมุนเวียนราว 3-4 แสนลบ. ดังนั้นหากนำกลับมาคาดว่าจะช่วยสร้างมูลค่าตลาดทุนให้กลับมาได้ถึง 1 ล้านลบ. และกระตุ้นให้ตลาดทุนกลับมามีความคึกคักมากขึ้น นอกจากนี้ มอง SET Index จะได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากหุ้นที่เผยงบดีกว่าคาด นำโดย CPF ซึ่งมีกำไรสุทธิใน 1Q67 สวนทางที่คาดว่าจะขาดทุน ขณะที่การประชุมครม. วันนี้มีแนวโน้มเป็น Sentiment ทางบวกเพิ่มเติม หลังก.คลังจะเสนอแก้ไขกฎหมายการจัดเก็บ VAT สินค้านำเข้าที่มีมูลค่าต่ำกว่า 1,500 บาท ซึ่งหากครม.เห็นชอบคาดเป็นปัจจัยหนุนต่อธุรกิจภายในประเทศ ท่ามกลางสภาวะการแข่งขันของตลาดที่มีแนวโน้มลดลง นอกจากนี้ ติดตามการประชุมคณะกรรมการค่าจ้างเพื่อพิจาณาค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ 400 บาท ว่าจะมีความคืบหน้าเพิ่มเติมหรือไม่ ท่ามกลางเสียงคัดค้านจากภาคธุรกิจ อย่างไรก็ตาม มองทางขึ้นจำกัดหลังเฟดนิวยอร์กเผยคาดการณ์เงินเฟ้อในเดือนเม.ย.67 ของผู้บริโภคสหรัฐฯในระยะเวลา 1 ปีข้างหน้าอยู่ที่ 3.3% ซึ่งเป็นระดับสงสดนับตั้งแต่เดือนพ.ย.66 และเพิ่มขึ้นจาก 3.0% ในเดือนมี.ค.67 ส่งผลให้นักลงทุนกังวลว่าเฟดจะตรึงอัตราดอกเบี้ยในระดับสูงยาวนานกว่าที่คาดไว้ ขณะที่คืนนี้ติดตามข้อมูลบ่งชี้เพิ่มเติม ได้แก่ ถ้อยแถลงของปธ.เฟด และดัชนี PPI ของสหรัฐฯเดือนเม.ย.67 ซึ่งตลาดคาด Headline PPI ขยายตัว 2.2% y-y และ 0.3% m-m จาก 2.1% y-y และ 0.2% m-m ในเดือนมี.ค.67 และ Core PPI ขยายตัว 2.3% y-y และ 0.2% m-m จาก 2.4% y-y และ 0.2% m-m ในเดือนมี.ค.67
  • กลยุทธ์การลงทุน : 1) นายกฯเดินสายหนุนการค้า/ลงทุน: AMATA, GFPT, PIN, TU, WHA 2) เก็งงบโค้งสุดท้าย: AOT, BEM, CENTEL, ERW 3) แก้กฎหมายเก็บ VAT สินค้านำเข้า: DOHOME, MOSHI, WARRIX และ 4) Defensive: BCH, BDMS, BH, CHG

ปัจจัยบวก

  • นายเครก เออร์วิน จาก Roth Capital เผยมีความเป็นไปได้ที่ไทยจะเป็นแหล่งผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ต้นทุนต่ำเหมือนกับจีน ซึ่งจะช่วยให้ต้นทุนการผลิตลดลงด้วย โดยไทยถือเป็นทางเลือกหนึ่งของเทสลา เนื่องจากจะเพิ่มความต่อเนื่องในการเข้าถึงห่วงโซ่อุปทาน ซึ่งจะสนับสนุนโรงงานของเทสลาในเซี่ยงไฮ้ แต่ไม่ต้องอยู่ภายใต้การกำกับดูแลของรัฐบาลจีน
  • นักวิเคราะห์ในโพลสำรวจของบลูมเบิร์กคาด GDP ของยูโรโซนจะขยายตัว 0.7% ในปี 2567 ซึ่งสูงกว่าที่ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ระดับ 0.5% และคาดการณ์ว่า GDP ของเยอรมนีจะขยายตัว 0.2% ซึ่ง สูงกว่าระดับที่ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ว่าจะเติบโตเพียง 0.1%
  • จีนจะเริ่มขายพันธบัตรรัฐบาลกลางของจีนมีอายุการไถ่ถอนยาวนาน พิเศษชุดแรกมูลค่า 1 ล้านล้านหยวน (138 พันล้านดอลลาร์) ในวันศุกร์เพื่อยกระดับการสนับสนุนทางการเงินเพื่อพยุงศก.

ปัจจัยลบ

  • Kresearch ประเมินว่ามูลค่าการใช้จ่ายในด้านการศึกษาของผู้ปกครองในกทม.และปริมณฑลช่วงเปิดเทอมปี 2567 เพิ่มขึ้น 2.3% เทียบกับผลสำรวจในปีก่อน ซึ่งเป็นผลจากการเปรียบเทียบกับผลด้านราคาและค่าครองชีพขณะที่ผู้ปกครองจำเป็นต้องจัดสรรค่าใช้จ่ายส่วนนี้เพื่อการศึกษาของบุตรหลาน โดยพิจารณาเลือกตัดหรือประหยัดค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันก้อนอื่นๆ
  • มหาอำนาจที่นำโดยสหรัฐฯและสหภาพยุโรปได้ระดมทุนเกือบ 8.1 หมื่นล้านดอลลาร์ เพื่อมุ่งสู่การผลิตเซมิคอนดักเตอร์รุ่นต่อไป เป็นการสะท้อนความถึงขัดแย้งระดับโลกกับจีนเพื่อชิงอำนาจสูงสุดของชิปที่เพิ่มขึ้น
  • สหรัฐฯ คาดว่าการผลิตธัญพืชทั่วโลกจะตึงเครียดมากขึ้นในฤดูกาลที่จะมาถึง ทำให้ราคาสินค้าเกษตรสูงขึ้น เนื่องจากศก.ยังคงเผชิญกับภาวะเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ในระดับสูง โดยก.เกษตรของสหรัฐฯคาดว่าสต็อกข้าวสาลีทั่วโลกในฤดูกาลปี 2567-2568 อยู่ที่ประมาณ 253.6 ล้านเมตริกตัน ซึ่งต่ำกว่าประมาณการโดยเฉลี่ยและเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 8 ปี

PICKS OF THE DAY

AMATA – BUY

  • เป้าหมาย 23.50 / 24.00 แนวรับ 22.30
  • Sentiment บวกจากทัวร์นายก: โดยมีแผนเดินทางเข้าพบ ปธน.ฝรั่งเศส, นายกฯ อิตาลี และร่วมงาน Nikkei Forum ที่ญี่ปุ่น ซึ่งคาดจะเป็นแรงหนุนจากการชวนต่างชาติเข้าลงทุนในไทย นอกจากนี้ Roth Capital มองว่าไทยจะเป็นแหล่งผลิตรถยนต์ EV สำคัญของอาเซียน
  • คาดกำไรปีนี้ 2.9 พันลบ.: ทางฝ่ายคาดกำไรปีนี้ที่ 2,946 ลบ. +19.7%y-y จากคาดงวด 1Q67 บริษัทจะมียอดขายที่ดินที่ 315 ไร่ (ไทย 292 ไร่, เวียดนาม 23 ไร่) คิดเป็น 15-18%ของเป้าหมายปีนี้ ด้านราคาขายที่ดินในนิคมฯ เพิ่มราว 11-13% และอุปสงค์สาธารณูปโภคในนิคมฯ ที่เพิ่มขึ้นตามกำลังการผลิตบริษัทในนิคมที่เพิ่มขึ้น สอดคล้องกับแผนนำอมตะ ยู เข้าจดทะเบียนในตลาดราวปลายปีนี้ ซึ่งจะทำให้บริษัทมีโอกาสได้กำไรจากการขายเข้าตลาดฯ ในอนาคต โดยงบฯ 1Q67 จะออกหลังปิดตลาด 14 พ.ค. นี้

TU BUY

  • เป้าหมาย 15.70 / 16.00 แนวรับ 14.70 / 15.00
  • บาทอ่อนหุ้นส่งออกได้ประโยชน์ : ปัจจุบันเงินบาทอ่อนค่าขึ้น ทั้ง y-y และ q-q เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจส่งออกอย่าง TU ซึ่งมีสัดส่วนส่งออกไปยังสหรัฐและยุโรปรวมกว่า 68%
  • 2Q67 ธุรกิจทูน่าดีขึ้น: คาด 2Q67 รายได้เติบโตขึ้นต่อเนื่องทุก category จากเข้าสู่ช่วงการบริโภคของสหรัฐฯและยุโรป และจะทำ GPM ได้ดีขึ้น q-q จากต้นทุนทูน่าที่ลดลง และปัจจุบันราคาทูน่าได้ปรับตัวขึ้นเล็กน้อยอยู่ที่ 1,375 USD/ton สูงกว่าเฉลี่ย 1Q67 ที่ 1,333 USD/ton จะได้ประโยชน์จากการขายลูกค้า OEM ที่ใช้นโยบายราคาแบบ Cost plus จากราคาตลาด
- Advertisement -