Daily Focus: Selective Play
2024 SET Target : 1470
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวบวกได้ในช่วงเปิดตลาด ก่อนจะมีแรงขายออกมาก ดันให้ดัชนีย้อนลงมาปิดลบ 4.91 จุด ที่ระดับ 1,311.78 จุด อ่อนแอกว่าภูมิภาคและที่เราประเมิน โดยราคาปิดทำจุดต่ำสุดใหม่อีกครั้ง กลุ่มที่หนุนตลาด ได้แก่ ธนาคาร อิเล็กทรอนิกส์ รับเหมาฯ การแพทย์ ส่วนกลุ่มที่ถ่วง คือ REIT ปิโตรฯ ค้าปลีก วัสดุก่อสร้างอสังหาฯ พลังงาน สถาบันในประเทศยังซื้อสุทธิในตลาดหุ้นบางๆอีก 108 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิติดต่อกันเป็นวันที่ 16 อีก 2 พันลบ. (และ Short Index Futures เพิ่มอีก 4.4 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่ง Sideways ในกรอบ 1,300-1,320 จุด โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีคาดยังได้อานิสงส์บวกหลังตัวเลขเงินเฟ้อ PPI สหรัฐฯเดือน พ.ค.ออกมาติดลบ m-m ทำให้ตลาดตลาดยังคาดหวังว่า FED จะลดดอกเบี้ยได้ 2 ครั้งปีนี้ด้วยความน่าจะเป็นราว 75% อย่างไรก็ตามภาพรวมหุ้นไทยยังฟื้นได้จำกัดเนื่องจากมีสัดส่วน หุ้นในกลุ่มดังกล่าวหรือ New Economy ที่ค่อนข้างจำกัด ขณะที่ปัจจัยการเมืองในประเทศ ยังคง Overhang โดยต้องติดตามการพิจารณาคดีหลักทางการเมืองในวันที่ 18 มิ.ย. ทั้งการยุบ/ไม่ยุบพรรคก้าวไกล ตำแหน่งนายกฯเศรษฐา คดี ม.112 ของคุณทักษิณ พ.ร.บ.เลือก สว.ว่าจะมีพัฒนาการรวมถึงนัดฟังคำวินิจฉัยหรือไม่และเมื่อใด กลยุทธ์จึงยังเน้นเลือกหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและมีความเสี่ยงต่ำจากผลกระทบของปัจจัยในประเทศขณะที่ฟุตบอลยูโร 2024 ที่จะเริ่มต้นคืนนี้ คาดส่ง Sentiment บวกต่อหุ้นบางกลุ่มที่จะได้ประโยชน์จากการบริโภคระหว่างรับชมฟุตบอล
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นเป็นรายตัวที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและแนวโน้มเติบโตแกร่งกว่าตลาด // รอดูแรงซื้อจากฐานแนวรับถัดไปบริเวณ 1,300+- จุด
หุ้นเด่นเดือน มิ.ย.: CHG, CPALL, ITC, KCG, TFG
FSSIA Portfolio: AOT, BDMS, CPALL, CPN, GPSC, KCG, SHR, SJWD, TIDLOR, TU
หุ้นเด่น Finansia 14 มิ.ย. 24 : MINT
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 44 บาท
- คาดผลการดำเนินงาน 2Q24 แข็งแกร่งต่อเนื่อง จากธุรกิจโรงแรมในยุโรปที่เข้า High Season หนุน RevPAR เติบโตแข็งแกร่งใน 2Q24-3Q24
- นอกจากนี้ยังมี Event สำคัญในยุโรปขับเคลื่อน เช่น ฟุตบอลยูโร 2024, Paris Olympic, และ Taylor Swift and Cold play concert ส่วนธุรกิจอาหารคาดได้ Sentiment บวกโดยเฉพาะ The Pizza Company ในช่วงถ่ายทอดฟุตบอล
- แนวรับ 30-29.50//28 บาท แนวต้าน 31.25-31.50//33.50 บาท
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคสุทธิหนาแน่น US$2,548 ล้าน นำโดยไต้หวันและเกาหลีใต้ประเทศละราว US$1,224-1,256 ล้าน ส่วนอาเซียนเม็ดเงินไหลเข้าอินโดนีเซีย US$183 ล้าน แต่ไหลออกจากไทยและเวียดนามประเทศละ US$55-56 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังค่อนไปในทิศทางไหลเข้าหลังเงินเฟ้อ PPI สหรัฐฯออกมาติดลบ m-m และต่ำกว่าคาด หนุนตลาดยังคาดหวัง FED ลดดอกเบี้ยค่อนไปในระดับ 2 ครั้งปีนี้
ประเด็นสำคัญวันนี้
(0) TISCO คาดกำไรสุทธิ 2Q24 ที่ 1.8 พันลบ. +1.6% q-q, -5% y-y หลักๆ มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมขายหุ้น IPO ที่เพิ่มขึ้น ขณะที่คาดกำไรจากการดำเนินงานทั้ง NII และ Non-NII ปรับลงเล็กน้อย การปล่อยสินเชื่อยังชะลอตัว NIM คาดว่าจะปรับลงเล็กน้อยมาอยู่ที่ 4.72% จาก cost of fund ที่ปรับขึ้น ด้านคุณภาพสินทรัพย์เราคาด NPL และการตั้งสำรอง ECLs จะปรับขึ้น ทำให้โดยรวมคาดว่ากำไรสุทธิ 1H24 ลดลง 4.2% y-y หรือคิดเป็น 52% ของประมาณการทั้งปี 2024 คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024 -7.8% และกลับมา +1% และ 0.5% ในปี 2025-26 ตามลำดับ คงราคาเป้าหมาย 97 บาท พร้อม Div. Yield 8% ต่อปี ยังแนะนำ “ถือ”
(0) ASAP โทนประชุมเป็นกลางถึงบวก บริษัทคาดหวังยอดขายรถยนต์ EV CHANGAN ราว 7 พันคัน ในปี 2024 และเพิ่มเป็น 1.5 หมื่นคัน ใน 2025 หลังโรงงานผลิตรถ EV ใหม่ของ CHANGAN ในไทยเปิดในเดือนมี.ค. 2025 ซึ่งจะเป็น Key driver การเติบโตในอนาคต แต่ค่อนข้างท้าทายจากภาวะการแข่งขันที่สูง ขณะที่ปัจจุบันธุรกิจเชารถยนต์และขายรถยนต์มือสองยังซบเซาและประสบภาวะขาดทุน แม้ 1Q24 กลับมาเป็นกำไรจาก ธุรกิจจัดจำหน่ายรถยนต์ EV ที่เริ่มส่งมอบรถ 2.8 พันลบ.เป็นไตรมาสแรก แต่ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซา กำลังซื้ออ่อนแอ ตลาดรถยนต์มีแข่งข้นสูง อีกทั้งตลาดรถมือสองยังตกต่ำต่อเนื่อง แนวโน้มกำไร 2Q24 จะชะลอตัว q-q ระยะสั้นเชื่อว่าจังหวะที่ดีในการเข้าลงทุนใน ASAP น่าจะรอหลังประกาศงบ 2Q24 ส่วนระยะยาวกำไรมีแนวโน้มเติบโตสูง หากการขายรถ EV เป็นไปตามเป้าของบริษัทก็จะกลายเป็นหุ้น Growth Stock หรือหุ้นธีม EV ที่น่าลงทุน
(0) คาดการณ์หุ้นเข้า-ออก SET50/SET100 งวด 2H24 สำหรับ SET50 คาดหุ้นเข้า BJC TIDLOR ITC BCP หุ้นออก BANPU COM7 SAWAD KCE // ส่วน SET100 คาดหุ้น เข้า BA BJC CKP EPG JAS JTS MBK QH SKY ออก BYD FORTH MOSHI NEX ORI RCL SNNP THG TKN
(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 65.11 จุด หรือ -0.17% ปิดที่ 38,647.10 จุด แต่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดทำนิวไฮติดต่อกันเป็นวันที่ 4 โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ โดยหุ้นกลุ่มรถยนต์ร่วงลงจากความวิตกเกี่ยวกับการที่ EU สั่งเก็บภาษีครั้งใหม่กับ EV ที่นำเข้าจากจีน
(0) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดผสม ก่อนผลการประชุมนโยบายทางการเงินของ BoJ ในวันนี้ โดยตลาดคาดว่ากรอบอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะยังคงอยู่ที่ 0.0-0.1% ในรอบนี้
(-) ค่าเงินบาท อ่อนค่า อยู่ที่บริเวณ 36.75 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ +0.27%
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 12 เซนต์ หรือ 0.2% ปิดที่ 78.62 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้แรงหนุนจากการที่กลุ่มโอเปก คาดการณ์ว่าอุปสงค์น้ำมันจะปรับตัวเพิ่มขึ้น รวมทั้งความหวังที่ว่าเฟดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยหลังมีข้อมูลที่บ่งขี้ถึงการชะลอตัวของตลาดแรงงานและเงินเฟ้อของสหรัฐ ในขณะที่เช้านี้ลบอยู่ที่ระดับ 77.89 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.93%
(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 36.80 ดอลลาร์ หรือ 1.56% ปิดที่ 2,318.00 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยตลาดถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และจากการที่เฟด ส่งสัญญาณว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในปีนี้ ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 2,320.40 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.10%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 829.34/ -0.17%