บล.พาย:

Weekly Strategy: TESG Fund หุ้นตัวไหนได้ประโยชน์

TOP PICK: CPALL, CPN, KBANK

ปัจจัยต่างประเทศ สัปดาห์นี้ตัวเลขเศรษฐกิจโลกรายงานใกล้เคียงกับ Bloomberg Consensus คาด แต่ปัจจัยการ Debate ของประธานาธิบดีคนต่อไปของสหรัฐฯ หนุนให้ Dollar Index และ Bond Yield ปรับตัวขึ้น ส่วนปัจจัยภายในประเทศทางตลาดหลักทรัพย์ กลต. และกระทรวงการคลัง ได้ร่วมกันแถลงนโยบายกระตุ้นตลาดทุน ด้วยการนำกองทุน TESG พร้อมมาตราการ Up-tick โดยเราคาดว่า SET index Downside จำกัด จากปัจจัยดังกล่าว แนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่ม Domestic สอดคล้องกับกลุ่มที่กองทุน TESG ลงทุนในสัดส่วนที่มากกว่าดัชนี อาทิ ค้าปลีก (CPALL HMPRO) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB TTB) ศูนย์การค้า (CPN)

ตัวเลขเศรษฐกิจสัปดาห์ที่ 24-28 มิ.ย.

สหรัฐ : วันอังคารที่ผ่านมา สหรัฐฯ รายงานรายงานดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคจากสถาบัน CB พบว่าใกล้เคียงกับที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้แต่ลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 101.3 โดยความเชื้อมันได้แรงหนุนจากตลาดแรงงาน อย่างไรก็ตามกับสภาพธุรกิจอ่อนตัวลง พร้อมกับความคาดหวังในอนาคตเกี่ยวกับรายได้และสภาพธุรกิจอ่อนตัวลง พร้อมกับมองโอกาสถดถอยทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ น้อยลงแต่มองฐานะการเงินปัจจุบันและอีก 6 เดือนข้างหน้าในมุมมองบวกที่น้อยลง ขณะที่แผนการซื้ออสังหาริมทรัพย์พบว่าไม่เปลี่ยนแปลงมากนักและยังคงระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ รวมถึงแผนการซื้อรถยนต์ก็หยุดชะงักเช่นกัน แต่ยังคงให้น้ำหนักกับการท่องเที่ยว แต่เน้นการท่องเที่ยวในสหรัฐฯมากกว่าจะออกไปนอกประเทศ ส่วนรายงานการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 1Q24 ครั้งสุดท้ายพบว่า ใกล้เคียงกับที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ พร้อมกับรายงานคำสั่งซื้อสินค้าคงทนขยายตัวดีกว่า Bloomberg Consensus คาดการณ์ อย่างไรก็ตามรายงาน Pending Home Sale แย่กว่าที่ Bloomberg Consensus คาดการณ์

ญี่ปุ่น: วันศุกร์ที่ผ่านมากระทรวงกิจการภายในของประเทศ รายงานเงินเฟือทั่วไปโตเกียวที่ 2.3 %YoY ใกล้เคียง Bloomberg Consensus คาดการณ์ ส่วนเงินเฟ้อทั่วไปโตเกียว รายงาน 1.8% มากกว่าที่ Bloomberg Consensus คาดที่ 1.7% โดยรายละเอียดภายในพบว่า ปรับตัวขึ้นจากการส่งผ่านค่าแรง ผ่านภาคบริการ อาทิ ค่าที่พัก ค่าอาหาร ค่าขนส่ง และ ค่าบริการทางการแพทย์ ที่สูงขึ้นจาก การปรับค่าแรง Shunto ในเดือนเมษายนที่ผ่านมา

ไทย: วันจันทร์ที่ผ่านมา ทางตลาดหลักทรัพย์ กลต. และกระทรวงการคลัง ได้ร่วมกันแถลงนโยบายกระตุ้นตลาดทุนด้วยการนำกองทุน TESG มาปรับเงื่อนไขใหม่ โดยปรับลดระยะเวลาถือครองลงเหลือ 5 ปีจากเดิม 8 ปี พร้อมเพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีเป็น 3 แสนบาทจากเดิม 1 แสนบาท โดยทาง กลต. ระบุว่าคาดการณ์เม็ดเงินใน TESG ตัวใหม่จะระดมทุนได้ราว 3 หมื่นล้านบาท นอกจากนี้ยังเตรียมศึกษากองทุนรูปแบบอื่นเช่นกองทุนวายุภักษ์ เรามองบวกกับหุ้นขนาดใหญ่ที่มีคะแนน ESG ระดับ A ขึ้นไป พร้อมทั้งมาตรการเพิ่มเติม อาทิ หลักเกณฑ์ในการ Short Sell ใหม่, เพิ่ม up-tick, ลงทะเบียน HFT, กำหนดเวลาขั้นต่ำในการตั้ง Order,พลักดันโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล

มุมมองสัปดาห์ 1-5 ก.ค. : คาด SET index Downside จำกัด

ปัจจัยต่างประเทศที่นักลงทุนควรให้ความสนใจคือ ตัวเลข PMI สหรัฐฯ ภาคการผลิต วันจันทร์, ตัวเลขตำแหน่งการเปิดรับสมัครงาน วันอังคาร, PMI ภาคบริการ และ FED Minute วันพุธ, อัตราการว่างงาน และ ค่าจ้างเฉลี่ยรายชั่วโมง วันศุกร์ โดยเราให้น้ำหนัก ปัจจัยตัวเลขภาคการจ้างงาน หากยังคงออกมาแข็งแกร่ง ส่งผลให้เงินเฟ้อยังคงยู่ในระดับสูง และ FED คงดอกเบียในระดับสูง ส่งผลกดดันตลาดหุ้นทั่วโลก ส่วนปัจจัยในประเทศ เราคาดว่า SET Index Downside จำกัด เนื่องจาก 1) การใช้ Up-tick rule นั้น ช่วยชะลอการขายของนักลงทุนต่างชาติและ 2) การซื้อหุ้นของกองทุน TESG แนะนำลงทุนในหุ้นกลุ่ม Domestic สอดคล้องกับกลุ่มที่กองทุน TESG ลงทุนในสัดส่วนที่มากกว่าดัชนี อาทิ ค้าปลีก (CPALL DOHOME GLOBAL HMPRO) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB TTB) ศูนย์การค้า (CPN)

- Advertisement -