บล.พาย

BBIK: Bluebik Group PCL

จุดต่ำสุดในไตรมาส 2 กำลังจะผ่านไป

เราคาดว่า BBIK ทำกำไรงวด 2Q24 ที่ 47 ล้านบาท (-27%YoY, -31%QoQ) ปรับตัวลงตาม เนื่องจากการชะลอโครงการของลูกค้าตามภาวะเศรษฐกิจ ฝั่งส่วนแบ่งกำไรจาก JV อยู่ที่ 10 ล้านบาท (-17%YoY, -11%QoQ) ตามปัจจัยทางฤดูกาล กำไรของ 2H มากกว่า 1H เราคาดว่ากำไรประจำไตรมาส 2 เป็นจุดต่ำสุดของปี เนื่องจากทั้งการเร่งเบิกจ่ายเงินลงทุนสะสมของภาครัฐที่เร่งตัวในไตรมาส 2 ระดับ 39% (เทียบกับปี 2019 ที่ 36%) ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชน อีกทั้งปัจจัยทางฤดูกาลที่ช่วยหนุนการส่งมอบงานในครึ่งปีหลัง โดยเรายังคงแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐานที่ 48.50 บาท เทียบเท่ากับ 19.1XPE’24E หรือคิดเป็นที่ PEG 0.88 เท่า เทียบ กับการเติบโตของกำไรเฉลี่ย 3 ปีข้างหน้าที่ (CAGR 22%)

คาดกำไร 2Q24 ชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ

  • กำไรสุทธิที่ 47 ล้านบาท (-27%YoY, -31%QoQ) ปรับตัวลดลงตามภาวะเศรษฐกิจ (สอดคล้องกับรายได้ที่ลดลง -4%YoY, -12%QoQ) ส่งผลให้ลูกค้าชะลอโครงการออกไปในไตรมาสนี้ อีกทั้งปัจจัยฤดูกาลใน 1H เป็นช่วงของการประมูลงาน ส่งผลให้มีการส่งมอบงานน้อย เราคาดว่ากำไรใน 1H24 คิดเป็น 35% ของคาดการณ์กำไรทั้งปี
  • อัตรากำไรขึ้นต้นที่ลดลงเหลือ 46% จากเฉลี่ยทั้งปีก่อนที่ 50% เนื่องจากมีการรับรายได้ของบริษัทลูกและ JV ในสัดส่วนที่มากขึ้น (GPM อยู่ที่ประมาณ 40% เทียบกับกำไร GPM ของธุรกิจหลักที่ 50%) อีกทั้งค่าเงินบาทที่อ่อนค่ากดดันต้นทุน subscription fee
  • สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้ คิดเป็น 32% หรือ 105 ล้านบาท (+4%YoY, 0%QoQ) ในงวด 2Q24 ใกล้เคียงไตรมาสก่อน แต่เนื่องจากสัดส่วนต้นทุนของค่าจ้างพนักงานคิดเป็น 80% ของต้นทุนทั้งหมด เมื่อรายได้ลดลง ส่งผลให้สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการบริหารต่อรายได้ปรับตัวเพิ่มขึ้น
  • ส่วนแบ่งกำไรจาก JV อยู่ที่ 10 ล้านบาท (-17%YoY, -10%QoQ) ชะลอตัวลงตามปัจจัยฤดูกาลและการส่งมอบงานใหญ่ในปลายปีที่แล้ว

คงประมาณการกำไรปี 24 โดยติดตาม Backlog ประกอบการตัดสินใจ

  • โดยเรายังคงประมาณการกำไรในปี 2024 ที่ 330 ล้านบาท (+18%YoY) มาจาก 1) การดำเนินการหลัก +9%YoY 2) ส่วนแบ่งกำไรจาก JV +3%YoY 3) สัดส่วนการถือหุ้นของ Innoviz +5%YoY เนื่องจากการการชะลอการลงทุนของภาคเอกชน (รายได้ BBIK : 90% เป็นเอกชน) เราเชื่อว่า BBIK มีความสามารถในการแข่งขันที่จะช่วยหนุนการเติบโต จากประวัติการทำงานและความชำนาญที่มากขึ้น ส่งผลให้รายได้เติบโตเฉลี่ย 3 ปีข้างหน้าอยู่ที่ 22% มากกว่ามูลค่าที่เติบโต 15-20%
  • แนวโน้มไตรมาสถัดไป ฟื้นตัวตามการเร่งเบิกจ่ายเงินลงทุนสะสมของภาครัฐที่เร่งตัวในไตรมาส 2 ระดับ 39% (เทียบกับปี 2019 ที่ 39%) ช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับภาคเอกชน อีกทั้งปัจจัยทางฤดูกาลที่ช่วยหนุนการ ส่งมอบงานในครึ่งปีหลัง อย่างไรก็ตามติดตามตัวเลข Backlog ณ สิ้นไตรมาส 2 หากตัวเลขดังกล่าวปรับตัวเพิ่มขึ้น เป็นปัจจัยหนุนรายได้และกำไรของบริษัท

คงคำแนะนำ “ซื้อ”

ที่มูลค่าพื้นฐาน 48.50 บาทต่อหุ้น คำนวณด้วย วิธีคิดลดกระแสเงินสด (DCF) ด้วย WACC: 11.9%, TG: 5% เทียบเท่ากับ 19.1XPE’24E หรือคิดเป็นที่ PEG 0.88 เท่า เมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรเฉลี่ย 3 ปีข้างหน้าที่ (CAGR 22%)

- Advertisement -