บล.พาย:

MTC: Muangthai Capital PCL.

รักษาสมดุลการเติบโตและคุณภาพสินเชื่อ

เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยมูลค่าพื้นฐานใหม่ที่ 48.00 MTC อยู่บนเส้นทางการฟื้นตัวในปี 2024 และเรามองว่าการเติบโตในอนาคตจะเป็นการรักษาสมดุลของการเติบโต และคุณภาพสินเชื่อมากขึ้นภายใต้เศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวเปาะบาง โดยบริษัทรายงานกำไรสุทธิใน 2Q24 ตามคาดที่ 1.4 พันล้านบาท (+20.3% YoY, +3.9% QoQ) ด้านงบดุลดีขึ้นต่อเนื่อง NPL ratio ลดลงเหลือ 2.9% และ Coverage ratio ปรับขึ้นเป็น 125% ทั้งนี้เราปรับลดคาดการณ์กำไรลง 1-6% ในปี 2024-26 จากปรับลด NIM ลง และเพิ่ม Cost to income ratio สูงขึ้นรองรับ ค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี การเติบโตของกำไรสุทธิจะกลับมาแข็งแกร่งที่ 17.8% ในปี 2024 และเติบโตเฉลี่ย 17% CAGR (2024-26) ส่วนแนวโน้มกำไรใน 2H24 เราคาดว่าจะอยู่ที่ราว 2.9 พันล้านบาท เติบโตทั้ง 14% YoY และ 4% HoH

การประชุมนักวิเคราะห์

  • กลยุทธ์ทางธุรกิจเน้นการเติบโตอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน สินเชื่อที่มีหลักประกันและมีความเชี่ยวชาญในปัจจุบันเป็นหลัก โดยคงเป้าหมายสินเชื่อเติบโต 15-20% ในปี 2024 ตามเดิม
  • คุณภาพสินเชื่อใน 3023-2024 มีทิศทางดีขึ้นในทุกพอร์ตสินเชื่อ (สินเชื่อหลักประกันและไม่มีหลักประกัน และเช่าซื้อรถจักรยานยนต์) อย่างไรก็ดี แม้ NPL ratio ลดลงเหลือ 2.9% ใน 20 แต่ยังสูงกว่าระดับที่น่าพอใจต่ำกว่า 2% ด้านประสิทธิภาพการติดตามหนี้ทำได้ดีต่อเนื่อง โดย MTC คาดว่าคุณภาพสินเชื่อจะดีขึ้นต่อเนื่องใน 2H24 ขณะที่ credit cost ใน 2H24 ใกล้เคียงกับใน 1H24
  • สภาพคล่องมีเพียงพอและจะมีเงินทุนใหม่เพิ่มราว 10-15 พันล้านบาท ใน 2H24 ส่วนต้นทุนการเงินเฉลี่ยในปี 2024 ไม่เกิน 4.2% และ มีแนวโน้มปรับลดลงในปี 2025 จากแนวโน้มอัตราดอกเบียลดลง
  • บริษัทยังไม่ได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมด้านการลงทุนระบบ IT หลังจากมีแผนการปรับเป็น Al Company ในอีก 5 ปี ซึ่งจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการทำงานและลดค่าใช้จ่ายในอนาคต แต่การขยายสาขายังจำเป็น และวางเป้าขยายสาขา 600 แห่ง/ปี ทั้งนี้ การเปิดสาขาใหม่ใน 2H24 จะลดลงเหลือ 200 สาขา จากราว 440 สาขา ใน 1H24

การเติบโตกำไรแข็งแกร่งที่ 17% CAGR (2024-26)

  • เราปรับคาดการณ์กำไรสุทธิลดลง 1-6% ในปี 2024-26 จากการปรับลดสมมติฐานส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM) ลง 30-40 bps สะท้อนต้นทุนการเงินที่ปรับเพิ่มขึ้นสูงกว่าคาด และอัตราผลตอบแทนสินเชื่ออ่อนตัวลงจากการเน้นเติบโตสินเชื่อที่มีหลักประกันนอกจากนี้ ปรับ Cost to income ratio เพิ่มขึ้นเป็นเฉลี่ย 47.8% ใน ปี 2024-26 (เดิม 47.5%) จากค่าใช้จ่ายด้านการลงทุนเพิ่มขึ้น
  • เราคาดกำไรสุทธิยังเติบโตที่ 17.8%/15.4%/18.1% ในปี 2024-26 และเติบโตเฉลี่ยสูง 17% CAGR (2024-26)
  • การปรับคาดการณกำไรลดลง ทำให้คาดว่า ROE จะเฉลี่ยที่ราว 16.7% ในปี 2024-26 สูงขึ้นจาก 16.1% ในปี 2023

คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยมูลค่าพื้นฐานใหม่ 48.00 บาท

เราปรับลดมูลค่าพื้นฐานเหลือ 48.00 บาท (เดิม 53 บาท) สะท้อนการปรับลดความสามารถการทำกำไรลง คำนวณด้วยวิธี GGM (ROE 16.5%, Terminal growth 5%) อิงจาก 2.7x PBV’24E และ 17.6xPE’24E

สรุปผลการดำเนินงานใน 2Q24

  • กำไรสุทธิงวด 2Q24 ออกมาตามคาดที่ 1.4 พันล้านบาท (+20.3% YoY, +3.9% QoQ) โดยกำไรสุทธิเติบโต YoY และ QoQ หนุนจาก (1) รายได้ดอกเบี้ยสุทธิขยายตัวล้อกับการขยายสินเชื่อ (2) สำรองหนี้ฯ ลดลง โดย Credit cost ลดลงที่ 3.04% (-59 bps YoY, -8 bps QoQ) และ (3) Cost to income ratio ลดลงจากการควบคุมค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ
  • กำไรสุทธิใน 1H24 เติบโตแกร่ง 24.8% YoY ที่ 2.8 พันล้านบาท
  • NIM ใน 2Q24 ปรับลดลงต่อเนื่องเหลือ 14.6% จากอัตราผลตอบแทนสินเชื่อลดลง และต้นทุนดอกเบี้ยปรับสูงขึ้น ด้านอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงาน (CIR) ลดลง YoY และ QoQ ที่ 47.5% จำนวนสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 7,980 แห่ง (+191 แห่ง QoQ)และสินเชื่อต่อสาขาเฉลี่ยเพิ่มขึ้นที่ 19.4 ล้านบาท
  • สินเชื่อรวมเร่งตัวขึ้น 4.8% QoQ (+16.4% YoY) หนุนจากสินเชื่อจำนำทะเบียนรถเป็นหลัก แต่สินเชื่อเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ปรับลดลง และสินเชื่อใน 1H24 ขยายตัว 7.9% YTD
  • คุณภาพสินเชื่อดีขึ้น หนี้เสียทรงตัวที่ 4.5 พันล้านบาท โดย NPL ratio ปรับลดลง Q0Q เหลือ 2.9% ใน 1Q24 และ Stage 2 ratio ลดลง QoQ ที่ 8.6% (1Q24: 9%) โดยมี Coverage ratio ปรับขึ้น QoQ เป็น 125%
- Advertisement -