บล.พาย:

TIDLOR: Ngern Tid Lor PCL.

คุณภาพสินเชื่ออ่อนแอ ฉุดการฟื้นตัวของกำไร

เราปรับลดคำแนะนำเป็น “ถือ” และลดมูลค่าพื้นฐานเหลือ 15.30 บาท สะท้อนคุณภาพสินเชื่ออ่อนแอลง และความสามารถการทำกำไรลดลงเราเห็นด้วยที่ TIDLOR จะให้ความสำคัญมากขึ้นกับการควบคุมคุณภาพสินเชื่อ และเร่งทำ Balance sheet cleanup หลังจาก NPL ratio สูงกว่าเป้าหมาย แต่การควบคุมที่ดีขึ้นอาจต้องชดเชยด้วยสินเชื่อโตชะล้อลง และตั้งสำรองหนี้ฯ สูงเพียงพอ เราปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิลง 4-8% ในปี 2024-26 จากปรับลดสินเชื่อเติบโตลดลง และเพิ่ม credit cost สูงขึ้น อย่างไรก็ดี เราคาด TIDLOR มีกำไรสุทธิเติบโตสูงที่ 12.2%/13.5%/12.6% ในปี 2024-26 (2023: 4.1%) และเติบโตเฉลี่ย 12.8% CAGR (2024-26) ด้านผลการดำเนินงานใน 2Q24 กำไรสุทธิออกมาที่ 1.1 พันล้านบาท (+17.7% YoY, -1.1% QoQ) ส่วน NPL ratio ปรับขึ้นเป็น 1.9% และ Coverage ratio ลดลง ที่ 227.3% แนวโน้มกำไรใน 2H24 เราคาดว่าจะอยู่ที่ราว 2 พันล้านบาท เติบโต 8% YoY แต่ลดลง 6% HoH

การประชุมนักวิเคราะห์

  • แม้มีความต้องการสินเชื่อจำนำทะเบียนระดับสูง แต่เพราะลูกค้ามีความสามารถในการชำระหนี้อ่อนแอลง ทำให้การเติบโตระมัดระวังใน 2H24 บริษัทเน้นควบคุมคุณภาพสินเชื่อ และประเมินผลตอบแทนเหมาะสมกับความเสี่ยงของลูกค้า TIDLOR มองว่า (1) สินเชื่อใน 2H โตชะลอตัว และโตราว 10% ในปี 2024 (2) NPL ratio ในปี 2024 ปรับขึ้นเป็นไม่เกิน 2% (เดิม 1.4-1.8%) (3) credit cost ใน 2H ใกล้เคียง 3.6% ใน 2Q ทำให้จะสูงกว่าเป้าหมายเดิมที่ 3-3.35% ในปี 2024 (4) แนวโน้ม NIM ใน 2H สูงขึ้น เพื่อให้เหมาะสมกับความเสี่ยง ลูกหนี้ และ (5) ฐานะการเงิน และสำรองหนี้ฯ แข็งแกร่ง
  • รายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจประกันภัยอยู่ในกรอบ Mid – Higher ของเป้าหมายที่ 10-20% ในปี 2024 และยังเน้นการลงทุนต่อเนื่องในธุรกิจนายหน้าประกันภัย
  • แนวโน้มราคารถมือสองจะลดลงต่อเนื่อง และบริษัทจะมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมจากการปรับโครงสร้างธุรกิจใน 2H24

ปรับลดคาดการณ์ลงสะท้อนคุณภาพสินเชื่ออ่อนแอกว่าคาด

  • แม้ผลการดำเนินงานใน 2Q24 จะออกมาตามคาด แต่คุณภาพสินเชื่อที่อ่อนแอลง และการควบคุมคุณภาพสินเชื่อให้ดีขึ้นผ่านการทำ Balance sheet cleanup ทำให้มองว่าการตั้งสำรองหนี้ฯ จะสูงขึ้นตามมา รวมทั้งการเติบโตสินเชื่อจะต้องทำอย่างระมัดระวังมากขึ้น เราปรับเพิ่มสมมติฐาน credit cost ขึ้น 20-25 bps ในปี 2024-26 เป็น 3.40-3.55% ในปี 2024-26 และปรับลดคาดการณ์สินเชื่อเติบโตชะลอตัว ที่ 10.4% CAGR (2024-26) จากเดิม 13%
  • เราปรับลดคาดการณ์กำไรสุทธิลง 4-8% ในปี 2024-26 อย่างไรก็ดีคาด TIDLOR จะมีกำไรสุทธิเติบโตสูงที่ 12.2%/13.5%/12.6% ในปี 2024-26 (2023: 4.1%) และเติบโตเฉลีย 12.8% CAGR (2024-26) และ ROE เฉลี่ยที่ 14.1% ในปี 2024-26 ใกล้เคียงกับในปี 2023

ปรับคำแนะนำเป็น “ถือ” ลดมูลค่าพื้นฐานเหลือ 15.30 บาท

เราปรับลดคำแนะนำเป็น “ถือ” (เดิม “ซื้อ”) และปรับลดมูลค่าพื้นฐานลงเหลือ 15.30 บาท (จาก 23.00 บาท) สะท้อนคุณภาพสินเชื่อที่อ่อนแอลง ส่งผลให้ความสามารถการทำกำไรลดลง คำนวณด้วยวิธี GGM (ROE 14%, TG 5%) อิงจาก 1.4x PBV’24E และ 10.5x PE’24E

สรุปผลการดำเนินงานใน 2Q24

  • กำไรสุทธิงวด 2Q24 ออกมาตามคาดที่ 1.1 พันล้านบาท (+17.7% YoY, -1.1% QoQ) กำไรสุทธิเติบโต YoY เนื่องจาก (1) รายได้ดอกเบี้ยสุทธิขยายตัวล้อกับสินเชื่อ และ NIM สูงขึ้น และ (2) รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นจากธุรกิจนายหน้าประกันภัย อย่างไรก็ดีกำไรลดลงเล็กน้อย QoQ เนื่องจากสำรองหนี้สูงขึ้น และรายได้ค่าธรรมเนียมลดลง
  • กำไรงวด 1H24 เติบโต 16.6% YoY เป็น 2.2 พันล้านบาท หนุนจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิ และรายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้นจากธุรกิจนายหน้าประกันภัย
  • NIM ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 15.65% (+7 bps YoY, +20 bps QoQ) เพราะอัตราผลตอบแทนสินเชื่อเพิ่มขึ้น โดยมีอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้จากการดำเนินงาน (CIR) ลดลงทั้ง YoY และ QoQ ที่ 53.4% จากรายได้การดำเนินงานสูงขึ้น และค่าใช้จ่ายการดำเนินงานลดลง จำนวนสาขาเพิ่มขึ้นเป็น 1,708 แห่ง (+30 แห่ง QoQ) โดยสินเชื่อต่อสาขาเฉลี่ยเพิ่มขึ้น YoY และ QoQ ที่ 58.6 ล้านบาท
  • สินเชื่อใน 2Q24 ขยายตัว 2.9% QoQ จากสินเชื่อจำนำทะเบียนเป็นหลัก ทำให้สินเชื่อใน 1H24 ขยายตัว 5.7% YTD
  • คุณภาพสินเชื่ออ่อนแอลง NPL ratio ปรับขึ้นเป็น 1.9% (สูงกว่าเป้าหมายที่ 1.4-1.8% สิ้นปี 2024) โดยได้ทำการตัดจำหน่ายหนี้สูญ ล่วงหน้าราว 110 ล้านบาท ส่วน Stage 2 ratio เพิ่มเป็น 17.3% จาก 16.5% ใน 1Q24 และ Coverage ratio ลดลงที่ 227.3%
- Advertisement -