กลุ่ม KTIS ชี้ปลายปีนี้ชาวไร่อ้อยยิ้มได้ คาดผลผลิตอ้อยเข้าหีบในฤดูการผลิตปี 67/68 จะมากกว่าฤดูกาลผลิตปี 66/67 อย่างมีนัยสำคัญ โดยจะเพิ่มขึ้นประมาณ 15-20% เนื่องจากปริมาณฝนมากกว่าปีก่อน และเชื่อว่าคุณภาพอ้อยจะดีขึ้นด้วย ส่งผลให้ปริมาณน้ำตาลมากกว่าปีก่อนด้วย อีกทั้งยังส่งผลดีไปถึงสายธุรกิจเอทานอล เยื่อกระดาษ และโรงไฟฟ้าชีวมวล เพราะจะมีวัตถุดิบสำหรับการผลิตมากขึ้น นอกจากนี้ โรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์จากเยื่อชานอ้อยบริสุทธิ์ 100% ก็จะสามารถรับรู้รายได้เต็มปี และมีส่วนแบ่งกำไรจากโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ด้วย จึงมั่นใจว่าผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS ในปี 2568 จะดีกว่าปี 2567
นายสมชาย สุวจิตตานนท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารสายธุรกิจน้ำตาล และผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มบริษัท เกษตรไทย อินเตอร์เนชั่นแนล ชูการ์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือกลุ่ม KTIS ผู้นำในอุตสาหกรรมน้ำตาลและอุตสาหกรรมต่อเนื่องครบวงจร เปิดเผยว่า เนื่องจากปีนี้มีปริมาณฝนตกมากกว่าปีก่อน ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีสำหรับชาวไร่อ้อย เพราะจะทำให้ต้นอ้อยได้รับน้ำอย่างเพียงพอและเติบโตได้ดี จึงคาดว่าผลผลิตอ้อยฤดูการผลิตปี 2567/2568 จะมากกว่าปี 2566/2567 ประมาณ 15-20% อีกทั้งคุณภาพของอ้อยที่จะนำไปผลิตน้ำตาลก็จะดีขึ้นด้วย ดังนั้น ส่วนแบ่งรายได้ของชาวไร่อ้อยจากการขายน้ำตาลก็จะได้มากกว่าปีก่อน โดยชาวไร่มีส่วนแบ่งรายได้ 70% และโรงงานน้ำตาลมีส่วนแบ่ง 30%
“มั่นใจว่าด้วยสถานการณ์ของฝนปีนี้ ผลผลิตอ้อยต่อไร่จะได้มากกว่าปีก่อนอย่างแน่นอน เพราะปีก่อนเจอปัญหาภัยแล้ง ผลผลิตอ้อยจึงต่ำกว่าที่ควรจะเป็นอย่างมาก อีกทั้งอ้อยก็โตไม่เต็มที่ ทำให้คุณภาพอ้อยต่ำ เมื่อนำไปเข้าหีบเพื่อผลิตน้ำตาลทราย จึงได้ผลผลิตน้ำตาลต่อตันอ้อยลดลงด้วย โดยในฤดูหีบปี 66/67 กลุ่ม KTIS ได้อ้อยเข้าหีบ 5.0 ล้านตัน ผลิตน้ำตาลทรายได้ 5.1 ล้านกระสอบ” นายสมชายกล่าว
ทั้งนี้ ปริมาณอ้อยที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นในปีการผลิต 67/68 จะส่งผลดีต่อทุกสายธุรกิจ เพราะจะมีโมลาส หรือ กากน้ำตาลไปผลิตเอทานอลมากขึ้น มีชานอ้อยที่ป้อนเข้าโรงไฟฟ้าชีวมวล และโรงงานผลิตเยื่อกระดาษจากชานอ้อยมากขึ้นด้วย จึงมั่นใจว่ารอบบัญชีปี 2568 (ตุลาคม 2567 – กันยายน 2568) ผลการดำเนินงานของกลุ่ม KTIS จะดีขึ้นกว่าปีก่อนอย่างแน่นอน
ผู้ช่วยประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่ม KTIS กล่าวด้วยว่า ในปี 2568 บริษัทฯ จะสามารถรับรู้รายได้จากโครงการผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยบริสุทธิ์ 100% ซึ่งมีกำลังการผลิตสูงถึง 50 ตันต่อวัน หรือประมาณ 3 ล้านชิ้นต่อวัน โดยมีเครื่องจักร 50 เครื่อง ที่สามารถผลิตบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมจากเยื่อชานอ้อยออกสู่ตลาดได้หลากหลายรูปแบบ เช่น จาน ชาม กล่อง ถาดหลุม เป็นต้น และยังมีรายได้จากโครงการนครสวรรค์ไบโอคอมเพล็กซ์ (NBC) เฟส 1 และเฟส 2 ซึ่งดำเนินการโดยบริษัท จีจีซี เคทิสไบโออินดัสเทรียล จำกัด หรือ GKBI บริษัทร่วมทุนระหว่างกลุ่ม KTIS และกลุ่ม ปตท. อีกด้วย
สำหรับผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 3 ปี 2567 (เมษายน – มิถุนายน 2567) กลุ่ม KTIS มีรายได้รวม 5,586.9 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 133.6 ล้านบาท