Daily Focus: จับตาท่าทีกนง.ต่อการดำเนินนโยบายการเงินในอนาคต

2024 SET Target: 1470

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่อง โดยระหว่างวันมีจังหวะทะลุผ่านแนวต้าน 1,330 จุด ก่อนที่ช่วงบ่ายจะมีแรงขายกดดันให้ลดช่วงบวกเหลือ 4.74 จุด ที่ระดับ 1,328.12 จุด มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 4.8 หมื่นลบ. ยังคงได้แรงหนุนจากความคาดหวังเชิงบวกต่อการเมืองที่ชัดเจนขึ้น สถาบันในประเทศพลิกมาขายสุทธิในตลาดหุ้น 362 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิต่อเนื่องอีก 1.8 พันลบ. (และ Long Index Futures อีก 1.9 หมื่นสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่ง Sideways ในกรอบ 1,320-1,335 จุด โดยความร้อนแรงเริ่มทยอยลดลงหลังจากปรับตัวขึ้นแกร่งในช่วง 3 วันก่อนหน้า ขณะที่โดยรวมยังขาดปัจจัยหนุนใหม่เพิ่ม สำหรับปัจจัยต่างประเทศตลาดยังคงรอติดตามถ้อยแถลงของประธาน FED ว่าจะส่งสัญญาณในการลดดอกเบี้ยอย่างไรในสัมมนาประจำปีที่ Jackson Hole โดยปัจจุบันตลาดคาดการณ์ FED จะลดดอกเบี้ยถึง 4 ครั้งปีนี้ ส่วนสถานการณ์ในตะวันออกกลาง ต้องติดตามพัฒนาการของการเจรจาหยุดยิงในกาซา ส่วนปัจจัยในประเทศวันนี้ติดตามการประชุมกนง. ซึ่งคาดว่าจะยังคงดอกเบี้ยที่ 2.5% แต่ต้องติดตามท่าทีต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายในอนาคต นอกจากนี้ คาดว่าจะเริ่มเห็นความชัดเจนของรายชื่อคณะรัฐมนตรีชุดใหม่วันนี้ โดยคาดว่าจะตรวจคุณสมบัติ แต่งตั้ง และแถลงนโยบายได้ภายในเดือน ก.ย. เช่นเดียวกับงบประมาณฯ ปี 68 ที่จะเข้าสภาในเดือน ก.ย. เพื่ออนุมัติเช่นกัน ทำให้ภาพรวมตลาดยังคาดหวังเชิงบวกต่อทิศทางเศรษฐกิจและตลาดหุ้นในช่วงที่เหลือของปี ทั้งเสถียรภาพทางการเมืองที่ดีขึ้น รวมถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจที่จะทยอยออกมาถัดจากนี้ โดยเฉพาะนโยบาย Digital Wallet ซึ่งมีแนวโน้มว่าจะมีการปรับเปลี่ยนรูปแบบ และเงื่อนไขโครงการให้มีประสิทธิผลมากขึ้น นอกจากนี้การกลับมาของกองทุนวายุภักษ์วงเงิน 1-1.5 แสนลบ.จะเป็นอีกปัจจัยหนุนให้ดัชนีฟื้นตัวได้ใน 4Q24 เราประเมินว่า SET Index ควรกลับไปซื้อขายที่ระดับ 1,350-1,380 จุด ใกล้เคียงเดือน พ.ค. ก่อนที่จะมีความไม่แน่นอนทางการเมืองเป็นอย่างน้อย

กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่มีแนวโน้มกำไร 2H24 แข็งแกร่งต่อเนื่อง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนต่อเนื่องระยะกลาง-ยาว

หุ้นเด่นเดือน ศ.ค.: BA, CHG, CPALL, ITC, MAGURO

FSSIA Portfolio: AOT, CHG, CPALL, CPN, GPSC, HANA, KCG, KTB, SHR, SJWD, TU

หุ้นเด่น Finansia 21 ส.ค. 24 : BH

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 310 บาท
  • โมเมนตัมกำไร 3Q24 คาดว่าจะเร่งขึ้นทั้ง q-q และ y-y ทำ Record High (สูงสุดเดิมอยู่ที่ 1.98 พันลบ.ใน 1Q24 จากแรงหนุนของ High Season  
  • กำไร 1H24 คิดเป็น 50% ของประมาณการทั้งปี 2024 ปัจจุบันของเราที่ 7.8 พันลบ.ขณะที่ EBITDA Margin 1H24 อยู่ที่ 41% สูงกว่าประมาณการทั้งปีปัจจุบันที่ 40%ทำให้โดยรวมกำไรปี 2024 น่าจะมี Upside ราว 5%
  • แนวรับ 240-238 บาท แนวต้าน 250-252//258 บาท

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนพลิกมาไหลเข้าภูมิภาคสุทธิตามคาด US$832 ล้าน นำโดยไต้หวันและเกาหลีใต้ประเทศละ US$293-330 ล้าน ส่วนอาเซียนไหลเข้าทุกประเทศเช่นกัน นำโดยอินโดนีเซีย US$108 ล้าน รองลงมาคือไทย US$52 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่าจะชะลอการไหล่เข้าหลังขาดปัจจัยใหม่เพิ่มเติมหนุน ขณะที่ตลาดยังรอติดตามการแถลงของประธาน FED ในสัมมนาประจำปีที่ Jackson Hole

ประเด็นสำคัญวันนี้

(+) BA บริษัทปรับเป้าค่าตั๋วโดยสารเฉลี่ยทั้งปี 2024 จาก 3,900 บาท/เที่ยว เป็น 4,400 บาท/เที่ยว และปรับเป้า load factor จาก 79% เป็น 81-83% สะท้อน 1H24 ที่ดีกว่าคาด แต่ยังคงจำนวนผู้โดยสารที่ 4.5 ล้านคน นอกจากนี้ผู้บริหารยังส่งสัญญาณโมเมนตัมปริมาณผู้โดยสารเติบโต y-y ต่อเนื่องในเดือน ก.ค. และยอดจองตั๋วล่วงหน้าใน 4Q24 และ 1Q25 ที่เพิ่มขึ้น 20% y-y, 25% y-y ในเดือนส.ค. ตามลำดับ เราคาดแนวโน้มกำไร 3Q24 ยังคงแข็งแกร่ง หนุนจาก High season นักท่องเที่ยวของสมุ่ย เราเห็น upside ต่อประมาณการกำไรปกติปี 2024 ของเราเพราะ 1H24 กำไรปกติคิดเป็น 75% ของประมาณการทั้งปี 2024 ราคาเป้าหมาย 28 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”

(+) MINT ชี้แจ้งถึงผลกระทบของ FX loss ที่เกิดจากอัตราแลกเปลี่ยน BRL/USD ผันผวนสูง ทำให้กำไร 2Q24 ต่ำกว่าตลาดคาด อย่างไรก็ดีผลกระทบ FX จะน้อยลงใน 2H24 เพราะ BRL/USD ผันผวนที่ลดลง แนวโน้มโมเมนตันกำไร 3Q24 จะแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยบริษัท guide ว่า RevPAR เติบโต 14% และ 20% ของโรงแรมในยุโรปและไทย ตามลำดับ นอกจากนี้ยอดจองล่วงหน้าส่งสัญญาณว่ารายได้จะเติบโต 18% สำหรับโรงแรมในยุโรปและมากกว่า 10% ของโรงแรมในไทยเดือนส.ค. 2024 ราคาหุ้นที่ปรับลง 15% จากความผิดหวังงบ 2Q24 ในช่วงเดือนที่ผ่านมา จนเทรดกันที่ 2024 PE เพียง 18 เท่า คงประมาณการและราคาเป้าหมาย 44 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”

(+) KCG เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 2024 ขึ้น 6% เป็น 388 ล้านบาท เติบโต 27%y-y เพื่อสะท้อนผลการดำเนินงาน 2Q24 ที่ดีกว่าเราคาด จากอัตรากำไรขั้นตันที่อยู่ในระดับสูงและยังมีแนวโน้มดีต่อเนื่องใน 2H24 ดังนั้นเราจึงปรับสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้นขึ้นเล็กน้อยและเป็นช่วง High Season ของธุรกิจใน 4Q24 มีการออกสินค้าใหม่ บวกกับ SG&A มีแนวโน้มลดลงจากโครงการ Logistic Park ได้ราคาเป้าหมาใหม่ 13 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”

(0) RBF ผู้บริหารปรับลดเป้ารายได้รวมปี 2024 ลงเป็น 5-10% หลัง 1H24 โต 4% เพราะลูกค้ารายใหญ่ที่จีนประสบปัญหา แม้เรามองผ่านกำไรต่ำสุดใน 2Q24 แล้ว แต่ยังคาด 2H24 จะทยอยฟื้นตัวอย่างช้าๆ อาจเห็นการเติบโต h-h แต่ยังลดลง y-y โดยปัจจัยหนุนการฟื้นใน 2H24 จะมาจากกลุ่ม Food coating เป็นหลัก อัตรากำไรขั้นตันอาจทรง มองว่ากำไรจะปรับฐานแล้วเสร็จใน 2H24 และคาดเห็นการเติบโตชัดเจนขึ้นใน 1H25 ซึ่งคาดหวังเห็นรายได้ลูกค้าใหม่ทั้งปากีสถาน บังคลาเทศ และรัสเซีย กอปรกับอยู่ระหว่างขยายตลาด Food coating มากขึ้นในจีนรวมถึงจะเริ่ม Commercial run รง.ที่อินเดีย และรง.ใหม่ที่อยุธยาใน 1Q25 คงคำแนะนำเพียง “ถือ”

(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 61.56 จุด หรือ -0.15% ปิดที่ 40,834.97 จุด เนื่องจากตลาดมีปัจจัยกระตุ้นเพียงเล็กน้อย ซึ่งทำให้นักลงทุนชะลอการซื้อขาย ก่อนที่การประชุมประจำปีของธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ที่เมืองแจ็กสันโฮล จะเปิดฉากขึ้นในวันพฤหัสบดีนี้

(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ โดยหุ้นกลุ่มพลังงานถ่วงตลาดลง ขณะที่นักลงทุนประเมินข้อมูลเศรษฐกิจและรอดูการประชุมธนาคารกลางที่แจ็กสันโฮล รัฐไวโอมิงของสหรัฐในสัปดาห์นี้

(-) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดลบ นำโดยตลาดนิกเกอิ โดยถูกกดดันจากการเทขาย หุ้นกลุ่มส่งออกหลังเงินเยนแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับดอลลาร์ และดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นสหรัฐปรับตัวลงเมื่อคืนวานนี้

(+) ค่าเงินบาท แข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 34.08 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -0.95%

(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 33 เซนต์ หรือ 0.44% ปิดที่ 73.17 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากมีรายงานว่าอิสราเอลยอมรับข้อตกลงหยุดยิงในฉนวนกาซา ซึ่งลดความเสี่ยงที่อุปทานน้ำมันในตะวันออกกลางจะได้รับผลกระทบสถานการณ์ดึงเครียด นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากความกังวลว่า การชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนอาจส่งผลให้อุปสงค์น้ำมันอ่อนแอลงด้วย ในขณะที่เช้านี้ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 73.18 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.01%

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 9.30 ดอลลาร์ หรือ 0.37% ปิดที่ 2,550.60 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้แรงหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และจากการที่นักลงทุนมีความเชื่อมั่นว่าเฟด จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนก.ย. ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการกล่าว สุนทรพจน์ของนายเจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ในการประชุมที่เมืองแจ็กสัน โฮล เพื่อหาสัญญาณที่ชัดเจนเกี่ยวกับแนวโน้มการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของเฟด ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 2,551.90 ดอลลาร์/บาร์เรลหรือ +0.05%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 857.27/ -0.20%

- Advertisement -