บล.กรุงศรีฯ:

เก่งหลังเกมส์  

SET Index ชะลอการขึ้น -3.1 จุด -0.22%  ปิด 1428.03 จุด มูลค่าการซื้อขายลดลงจากวันก่อนแต่ยังหนาแน่น  6.4 หมื่นล้านบาท   โดยตลาดยังรอรายงานตัวเลขอัตราเงินเฟ้อสหรัฐ และการ Debate ระหว่าง Donald Trump Vs. Kamala Harris กลางสัปดาห์   โดย Sector ที่ปรับขึ้นหนุนดัชนี คือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ DELTA  กลุ่ม Property REITs (CPNREIT, 3BBIF)  หนุนจากทิศทางดอกเบี้ยขาลง   กลุ่มอาหาร CPF,OSP  กลุ่มค้าปลีก CPAXT, GLOBAL  ฯลฯ  กลุ่มที่กดดัชนีคือ  กลุ่มพลังงาน PTTEP, PTT กลุ่ม ICT (TRUE, ADVANC)  ฯลฯ 

หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ

ADVICE – 4.3% SPVI -3.1%, JMART -2.45% COM7 – 0.96%,   

ราคาหุ้นจำหน่ายอุปกรณ์และมือถือในไทยปรับลงแรง รับ Sell on fact หลังจาก Apple ประกาศเปิดตัว iPhone 16 Series จำนวน 4 รุ่น โดยก่อนหน้าตลาดได้เก็งกำไรในหุ้นขึ้นมาก่อนหน้า  KSS  อิงสถิติการเปิดตัว iPhone รุ่นใหม่ย้อนหลัง 6 ครั้งล่าสุด พบว่า การลงทุนช่วงเวลาหลังเปิดตัว   1 สัปดาห์หุ้นกลุ่มหุ้นจำหน่ายอุปกรณ์และมือถือในไทย เกือบทุกบริษัทให้ผลตอบแทนติดลบ  โดยความน่าจะเป็นของการให้ผลตอบแทนเป็นลบสูง 83 – 100% ทำให้ในเชิงกลยุทธ์แนะนำ Take Profit ในกลุ่มนี้หลังจากที่ KSS เคยแนะนำเก็งกำไรในช่วงก่อน ขณะที่กระแสราคาเปิดตัว iPhone-16 ที่มีโอกาสต่ำกว่ารุ่นก่อน ถือเป็นลบอ่อนๆ หากปริมาณจำหน่ายไม่สูงพอชดเชย จึงแนะนำรอดูกระแสอีความนิยมจากอีกครั้ง

STEC +2.65% UNIQ +2.86%  

ราคาหุ้นในกลุ่มรับเหมาเริ่มเคลื่อนไหวทางบวกมองมีโอกาสเด่นระยะถัดไป 1.) Mega Projects  ปี 2024 กระทรวงคมนาคมเตรียมนำเสนอ ครม. 9 โครงการ มูลค่า 6.6 แสนล้านบาท 2.) ความเสี่ยงการปรับค่าแรงมีโอกาสต่ำกว่าตลาดกังวล แม้เริ่มมีกระแสข่าวการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 400 บาท แต่คาดว่ารัฐบาลน่าจะพิจาณามาตรการภาษีชดเชย ทำให้ผลกระทบน้อยกว่าคาดหรืออาจจะเป็นบวกเล็กๆ 3.) หุ้นรายตัวในกลุ่มมีปัจจัยเฉพาะหนุน อาทิ STEC (รถไฟฟ้า 20 บาทการตั้งกองทุนรัฐฯมาซื้อสินทรัพย์รถไฟฟ้าสายสีเหลือง ชมพูที่มีผลขาดทุนจะช่วยลดกระทบ + กระแสเกาะกลุ่ม BA BTS พัฒนาโครงการร Entertainment Complex) CK (Backlog ในมือสูง + BEM ลุ้นโครงการ Double Deck) Strategy อิงมูลค่าพื้นฐานพื้นฐาน Consensus (settrade) STEC (TP Con-10.2) CK(TP Con-26.5)  

NSL  +10.2% 

ราคาหุ้นปรับขึ้น จากแนวโน้มธุรกิจที่ดี KSS คาดกำไรหลัก NSL จะเติบโต 57% ในปี FY24F โดยได้รับแรงหนุนจาก: 1) ยอดขายเติบโต 21% จาก CPALL (ส่วนแบ่งรายได้ 87%) และแบรนด์ของบริษัทเองที่ลงทุนกับพันธมิตรหลายราย (โดยเฉพาะกับ Bake A Wish) และ 2) อัตรากำไรขั้นต้นขยายตัว 1.9 ppt (เป็น 20.2%) จากการเติบโตของยอดขายที่แข็งแกร่ง เราคงคำแนะนำ  ซื้อ ราคาเป้าหมายที่ 35 บาท

CPNREIT +5.6%, 3BBIF  +8.77%, DIF 5.1%

กลุ่ม REIT ปรับขึ้นปัจจัยหลัก คือ ตามทิศทาง ดอกเบี้ยที่เป็นขาลง และอิง Bond yields ที่เป็นขาลง  นำโดยสหรัฐ  Bond yield สหรัฐ ผลต่อ Thai Bond yield เป็นขาลงตาม ( US Bond yields 10 ปี และ Thai Bond yield10 ปี มีค่าสหสัมพันธ์สูงราว 0.6 หรือไปทางใดเดียว)  KSS ยังคงมุมมองบวกต่อกลุ่ม REITS หุ้นเด่น IMPACT, BTSGIF

- Advertisement -