KS Daily View 11.09.2024 >>> ติดตามดีเบตทรัมป์ VS แฮร์ริส คาด SET พักตัว กรอบ 1,410 – 1,440 แนะนำ DELTA และ AP
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้:
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคลื่อนไหวผันผวนก่อนการดีเบตระหว่างทรัมป์และแฮร์ริส และก่อนการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ โดยตลาดปรับตัวลงในช่วงแรกก่อนที่จะรีบาวด์กลับขึ้นมาได้และปิดผสมผสาน Dow Jones -0.23%, S&P500 +0.45%, Nasdaq Composite +0.84% และ Russell 2000 -0.83% โดยหุ้นในกลุ่มเทคโนโลยีปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง แต่กลุ่มที่ปรับตัวลงได้แก่ Energy จากราคาน้ำมันที่ลงแรงและ Financials จากการที่กลุ่มแบงค์ปรับลดคาดการณ์รายได้ในอนาคตลง
SET Index ปิดที่ 1,428.03 จุด (-0.22%) ตลาดหุ้นไทยยังเคลื่อนไหวผันผวนที่แนว 1,430 จุด ซึ่งเป็นจุดสูงสุดในปีนี้ โดยวานนี้ได้แรงหนุนจาก DELTA ที่ปรับตัวขึ้นในช่วงบ่ายหลัง TSMC รายงานรายได้เดือนสิงหาคมออกมาค่อนข้างดีโดยมีแรงหนุนจากชิปที่ใช้ใน Data Center คาดวันนี้ตลาดหุ้นไทยน่าจะยังพักตัวในกรอบ 1,410 – 1,440 จุด รอปัจจัยบวกใหม่ แนะนำ DELTA ที่มีปัจจัยหนุนเฉพาะตัวและ AP จากราคาที่ยังค่อนข้าง Laggard อัตราเงินปันผลที่สูงที่น่าจะเป็นเป้าหมายของกองทุนวายุภักษ์
เช้านี้แนะนำติดตามการดีเบตระหว่างทรัมป์และแฮร์ริส หากทรัมป์ทำได้ดีจนคะแนนในโพลตีตื้นขึ้นมา อาจทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและบาทอ่อนซึ่งเรามองเป็นบวกกับ DELTA และ ITC แต่หากแฮร์ริสสามารถทำได้ดีจนคะแนนในโพลทิ้งห่างเพิ่มขึ้น อาจส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์มีทิศทางที่อ่อนค่าต่อเนื่องและบาทแข็งค่าซึ่งเรามองเป็นบวกกับ AAV และ SYNEX
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1.โดนัลด์ ทรัมป์ และกมลา แฮร์ริส เตรียมดีเบตในเช้าวันนี้ 8 โมงตามเวลาประเทศไทย ซึ่งอาจเป็นการดีเบตครั้งแรกและครั้งเดียวก่อนการเลือกตั้งที่จะมีขึ้นในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2567 นโยบายที่มีความแตกต่างกันและตลาดจับตาดูอย่างใกล้ชิด ได้แก่ นโยบายที่เกี่ยวกับภาษีนิติบุคคลที่ปัจจุบันอยู่ที่ 21% โดยทรัมป์เสนอให้ลดลงเหลือ 15% ในขณะที่แฮร์ริสเสนอให้เพิ่มเป็น 28%, นโยบายการค้าขึ้นภาษีนำเข้า (Tariff) ที่มีต่อจีน, นโยบายเกี่ยวกับผู้อพยพ (Immigration) ซึ่งทรัมป์จะเข้มงวดมากขึ้นทำให้ส่งผลต่ออุปทานแรงงาน ค่าจ้าง และเงินเฟ้อ, การที่ทรัมป์เสนอลดข้อบังคับทางกฏหมายต่างๆ เพื่อให้ภาคธุรกิจสามารถดำเนินธุรกิจได้ง่ายมากขึ้น
2.จีน รายงานส่งออกเดือนสิงหาคมเพิ่มขึ้น 8.7% YoY มากกว่าคาดที่ 6.5% YoY โดยเป็นการเติบโตที่มากที่สุดในรอบ 17 เดือน เร่งตัวขึ้นจาก 7.0% YoY ในเดือนกรกฎาคม นับเป็นการเติบโตต่อเนื่องเป็นเดือนที่ห้า แรงหนุนมาจากการส่งออกยานยนต์และเซมิคอนดักเตอร์ ในทางตรงกันข้ามการนำเข้าเพิ่มขึ้นเพียง 0.5% YoY ต่ำกว่าคาดที่ 2.5% YoY สะท้อนถึงอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอ
3.TSMC รายงานรายได้เดือนสิงหาคมที่ 250.9 พันล้านไต้หวันดอลลาร์ เพิ่มขึ้น 33% YoY แรงหนุนมาจากความต้องการของชิป AI ที่เป็นตัวขับเคลื่อนสำคัญ นอกจากนี้ยังได้สัญญาณการฟื้นตัวของตลาดสมาร์ทโฟนที่ช่วยเพิ่มการผลิตชิปในส่วนนี้ด้วย โดยเฉพาะการเปิดตัว iPhone 16 ของ Apple
4.ราคาน้ำมัน Brent ร่วงต่ำกว่า 70 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลครั้งแรกตั้งแต่ปี 2021 โดยราคาฟิวเจอร์ส Brent ลดลงราว 3% ในขณะที่ WTI ของสหรัฐฯ ลดลงราว 4% หลังกลุ่ม OPEC ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์ความต้องการน้ำมันในปีนี้ลง 80,000 บาร์เรลต่อวันจาก 2.11 ล้านเหลือ 2.03 ล้าน ในขณะเดียวกันก็ปรับปีหน้าลง 40,000 บาร์เรลต่อวันจาก 1.78 ล้านเหลือ 1.74 ล้าน ซึ่งเป็นการปรับลดเป็นครั้งที่ 2 ในรอบ 2 เดือน ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับอุปสงค์น้ำมันจากจีนซึ่งเป็นผลมาจากภาคอสังหาฯที่ยังหดตัว มองเป็นบวกต่อ AAV ที่ได้ประโยชน์จากต้นทุนน้ำมันที่ปรับตัวลง และค่าเงินบาทก็แข็งค่าในช่วง 3Q24
5.ธนาคารแห่งประเทศญี่ปุ่น (BOJ) คาดว่าจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในการประชุมสัปดาห์หน้า เนื่องจากความผันผวนของตลาดการเงินและผลกระทบจากการขึ้นดอกเบี้ยในเดือนกรกฎาคม โดย BOJ ยังคงติดตามสภาพเศรษฐกิจและเงินเฟ้ออย่างใกล้ชิด นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดว่า BOJ อาจเลื่อนการขึ้นดอกเบี้ยครั้งต่อไปไปเป็นช่วงปลายปีนี้หรือปี 2025
หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:
DELTA: ราคาพื้นฐาน 113 บาท
จากแนวโน้มผลประกอบการที่น่าจะดีขึ้นต่อเนื่องในช่วงครึ่งหลังของปี 2567 จากความต้องการของ Data Center และ AI Application ที่มีอัตรากำไรสูง อีกทั้งบริษัทยังคงเป้าหมายการเติบโตของรายได้ที่ 10 – 20% และอัตรากำไรขั้นต้นที่ 23 – 24% นอกจากนี้ยังมีปัจจัยบวกล่าสุดจากการรายงานรายได้ของ TSMC ที่ 250.87 พันล้านไต้หวันดอลลาร์ ใกล้เคียงระดับ Record High ที่ 256.95 พันล้านไต้หวันดอลลาร์ในเดือนที่แล้ว โดยเป็นการเพิ่มขึ้น 33% YoY ซึ่งมีแรงหนุนหลักมาจากชิปในส่วนของ Data Center จึงมองน่าจะส่ง Sentiment ที่ดีมายัง DELTA ได้ต่อเนื่องจากที่มีการปรับตัวขึ้นและพาให้ SET รีบาวด์ในช่วงบ่ายของเมื่อวานนี้ แนะนำซื้อที่ราคาพื้นฐาน 113 บาท
AP: ราคาพื้นฐาน 10.90 บาท
แม้ผลประกอบการในไตรมาส 2/2567 ของ AP จะดูไม่โดดเด่นนัก โดยกำไรสุทธิลดลง 18% เมื่อเทียบกับปีก่อน (YoY) อันเป็นผลจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลงและค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ตาม บริษัทสามารถฟื้นตัวได้ดีในเชิงรายไตรมาส (QoQ) โดยกำไรเพิ่มขึ้น 26% จากไตรมาสก่อนหน้า และแนวโน้มครึ่งปีหลัง 2567 มีโอกาสดีขึ้นอย่างมากจากการโอนกรรมสิทธิ์โครงการใหญ่ที่อยู่ใน backlog ซึ่งจะสนับสนุนผลประกอบการต่อเนื่อง ราคาหุ้นค่อนข้าง Laggard โดยหากคิดจากต้นปียังติดลบอยู่ราว 17% โดยปัจจุบันซื้อขายที่ระดับ P/E ราว 5 เท่าต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 5 ปี อีกทั้งยังมีอัตราเงินปันผลที่สูงถึงราว 7% ซึ่งน่าจะเป็นเป้าหมายการลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ แนะนำซื้อที่ราคาพื้นฐาน 10.90 บาท
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันพุธ ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อ (US CPI) ของสหรัฐ เดือน ส.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ +2.6% YoY ชะลอตัวจากเดือนที่ผ่านมาที่ +2.9% YoY และเงินเฟื้อที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน ตลาดคาดการณ์ที่ 3.2% YoY ทรงตัวจากเดือนที่ผ่านมา
- วันพฤหัสฯ ติดตามผลการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางยุโรปตลาดคาดการณ์ที่ 4.00% ปรับลดจากครั้งก่อนหน้าที่ 4.25% ต่อด้วยการรายงานตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐ ดัชนีราคาผู้ผลิตที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน (US Core PPI index) ของสหรัฐเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 2.4% YoY ต่อด้วยการรายงานจำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.27 แสนตำแหน่ง
- วันศุกร์ ติดตามดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภครัฐจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (Michigan Consumer Sentiment Prelim) เดือน ก.ย. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 67.9 จุด