Daily Focus: สร้างฐานระยะสั้น

2024 SET Target : 1470

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวในแดนบวกได้เล้กน้อยในช่วงเช้า ก่อนที่จะมีแรงขายออกมากดดันในช่วงบ่าย ทำให้ดัชนีปิดลบเป็นวันที่ 3 ติดต่อกันอีก 4.88 จุด ที่ระดับ 1,450.15 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายกว่า 6 หมื่นลบ. ยังคงอยู่ในช่วงพักฐานหลังจากปรับตัวขึ้นโดดเด่นในช่วงกว่า 1 เดือนที่ผ่านมา สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นเร่ง ขึ้นเป็น 1.4 พันลบ.และ 1.8 พันลบ. ตามลำดับ (ต่างชาติ Short Index Futures อีก 5.9 พัน สัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่งตัว Sideways to Sideways Down โดยมีแนวรับระยะสั้นบริเวณ 1,440+- จุด โดยบรรยากาศการลงทุนในเอเชียเช้านี้เป็นลบ นำโดยตลาดหุ้นญี่ปุ่นที่ปรับตัวลง 4% จากค่าเงินเยนที่แข็งค่าแรงกลับมาที่ 142.5 เยน/ดอลลาร์ หลังนาย ชิเงรุ อิชิบะ ได้รับเลือกเป็นหัวหน้าพรรค LDP และว่าที่นายกฯคนใหม่ ซึ่งสนับสนุนให้ BoJ ขึ้นดอกเบี้ย ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯด้านเงินเฟ้อ PCE เดือน ส.ค. ออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย แต่ตลาดไม่ได้ตอบรับเชิงบวกเพิ่มเติมนักจากปัจจุบันที่ยังมอง FED ลดดอกเบี้ยอีกราว 75 bps ปีนี้ โดยโฟกัสหลักอยู่ที่สัปดาห์หน้าทั้ง ISM ภาคการผลิตและบริการ และโดยเฉพาะการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ก.ย. ช่วงปลายสัปดาห์นี้ ส่วนในฝั่งจีนเช้านี้ติดตามตัวเลข PMI เดือนก.ย. และตลาดยังคาดหวังเชิงบวกต่อผลของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ส่วนปัจจัยในประเทศโดยรวมยังคงมุมมองเชิงบวกต่อแนวโน้ม GDP 2Q24-2025 จากนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลใหม่ รวมถึงระยะสั้นคาดได้ผลบวกจากการแจกเงินหมื่นเฟสแรก 1.45 แสนล้าน ชดเชยผลกระทบของสถานการณ์น้ำท่วม เป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Consumption Play ด้าน Downside ของดัชนีเราคาดว่าจะไม่ปรับตัวลงลึกโดยมีเม็ดเงินใหม่จากกองทุนวายุภักษ์ 1 เข้ามาช่วยประคองในสัปดาห์นี้เป็นต้นไป

กลยุทธ์ : เน้นลงทุนหุ้น Domestic Play ที่มีแนวโน้มกำไร 2H24-2025 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนต่อเนื่องระยะกลาง-ยาว

หุ้นเด่นเดือน ก.ย.: BDMS, CPALL, ICHI, MTC, NSL

FSSIA Portfolio: AOT, CHG, CPALL, CPN, GPSC, KCG, KTB, MTC, NSL, SHR, TU

หุ้นเด่น Finansia 30 ก.ย. 24 : CHG

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 3.60 บาท
  • โมเมนตัมกำไร 2H24 คาดกลับมาเติบโตโดดเด่น โดยเฉพาะ 3Q24 ที่เข้า High Season ส่วนประเด็นกังวลเรื่องเม็ดเงินประกันสังคมในส่วน RW>2 ยังลุ้นสมาคมโรงพยาบาลฯเจรจากับประกันสังคมในการปรับเพิ่มงบประมาณส่วนดังกล่าว 
  • เรายังคาดกำไรปี 2024 ที่ 1.2 พันลบ. +15% y-y ราคาหุ้นปัจจุบันยังเทรด Valuation ไม่แพง โดย PER อยู่ทีเพียง 25 เท่า เทียบกับค่าเฉลี่ยในอดีตที่กว่า 30 เท่า 
  • แนวรับ 2.70//2.60 บาท แนวต้าน 2.80//3 บาท 

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนยังคงไหลเข้าภูมิภาคต่อเนื่องอีก US$618 ล้าน นำโดยไต้หวัน US$549 ล้าน ตามด้วยเกาหลีใต้ US$144 ล้าน ส่วนฝั่งอาเซียนเม็ดเงินยังไหลออก ต่อเนื่องนำโดยไทยและอินโดนีเซีย US$56 ล้านและ US$33 ล้าน ตามลำดับ ส่วนฟิลิปปินส์และเวียดนามยังไหลเข้าบางๆ แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่าจะชะลอการไหลเข้าหลังตอบ รับเชิงบวกต่อจีนที่เดินหน้าออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้วพอสมควร

ประเด็นสำคัญวันนี้

(+) Core PCE เดือนส.ค. ตามคาด core PCE เดือนส.ค +0.1% m-m ลดลงจาก +0.2% ในเดือนก่อนหน้า และ +2.7% y-y เพิ่มขึ้นจาก +2.6% y-y ในเดือน ก.ค. 2024 ตัวเลขดังกล่าว ส่งสัญญาณ Sentiment เชิงบวกต่อตลาดหุ้น และสอดคล้องกับแนวโน้มการปรับลดดอกเบี้ยของเฟดในระยะถัดไป อย่างไรก็ตาม ถัดจากนี้ไปเชื่อว่าเฟดจะให้สำคัญกับตัวเลขการจ้างงานมากกว่าเงินเฟ้อ เพื่อดูแลและรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจสหรัฐชะลอตัวแบบ soft landing

(+) กลยุทธ์ลงทุนเดือนต.ค. 2024 คาคเฟดปรับลดดอกเบี้ยนโยบายจะช่วยหนุนตลาดหุ้นและตลาดเกิดใหม่จะได้รับอนิสงค์ในเชิงบวก ขณะที่จีนจะได้แรงหนุนจากมาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตาม SET Index จะยังได้แรงหนุนจากปัจจัยภายในประเทศเป็นหลัก อาทิ การเมืองนิ่ง แนวโน้มเศรษฐกิจดีขึ้นใน 4Q25-2025 และกองทุนวายุภักษ์ 1 ช่วยจำกัด downside risk เรายังคงเป้า SET index ปี 2024 ที่ 1470 และเบื้องต้นปี 2025 อยู่ที่ 1600 จุด และชอบกลุ่มอุตสาหกรรม domestic play หุ้น Top picks คือ AOT, CHG, CPALL, CPN, GPSC, KCG, KTB, MIC, NSL, SHR และ TU

(+) หุ้นเป้าหมายกองทุนวายุภักษ์ 1 ระบุให้ผลตอบแทน 3-9% ระยะเวลาลงทุน 10 ปี เรา คัดเลือกหุ้นที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายโดยอ้างอิง หุ้นที่มี ESG Rating A ขึ้นไปสำหรับ SET100 และ AA ขึ้นไปสำหรับหุ้นนอก SET100 โดยเน้นหุ้นที่มี Dividend Yield ราว 3% หรือสูงกว่า หรือหุ้นเติบโตดี (Dividend Yield อาจไม่ถึง 3%) ได้แก่ ADVANC AP BAM BBL BCH BDMS BJC CALL CPN HMPRO ICHI INTUCH KBANK KTB MEGA MINT OSP SC SIRI TISCO WHA WHAUP PR9 DIF 3BBIF TFFIF AIMIRT CPNREIT LHHOTEL LHSC WHAIR

(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 137.89 จุด หรือ +0.33% ปิดที่ 42,313.00 จุด เนื่องจากข้อมูลเงินเฟ้อที่ต่ำกว่าคาด ทำให้มีความหวังว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก ส่วนดัชนี S&P500 และดัชนี Nasdag ปรับตัวลงเล็กน้อย แต่ก็ยังคงอยู่ใกล้กับระดับสูงเป็นประวัติการณ์

(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวก โดยหุ้นที่พึ่งพาตลาดจีนยังคงทะยานขึ้น หลังจากจีนเปิดเผยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจในสัปดาห์นี้ โดยกลุ่มสินค้าหรูหราปรับตัวขึ้นมากที่สุด

(-) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดลบ นำโดยตลาดนิกเกอิที่เช้านี้ปรับตัวลดลงแรง 4% ขณะที่ในวันนี้ มีประเด็นให้จับตาคือ รายงาน PMI เดือน ก.ย. ของจีน โดยตลาดคาดระดับที่หดตัวเล็กน้อย m-m แต่ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า

(0) ค่าเงินบาททรงตัว อยู่ที่บริเวณ 32.41 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ +0.06%

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 51 เซนต์ หรือ 0.75% ปิดที่ 68.18 ดอลลาร์/บาร์เรล แต่ลดลงในรอบสัปดาห์นี้ ขณะที่นักลงทุนชั่งน้ำหนักระหว่างการคาดการณ์เกี่ยวกับปริมาณน้ำมันที่เพิ่มขึ้นทั่วโลกกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของจีน ซึ่งเป็นผู้นำเข้าน้ำมันรายใหญ่ ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 68.31 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.19%

(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 26.80 ดอลลาร์ หรือ 0.99% ปิดที่ 2,668.10 ดอลลาร์/ออนซ์ แต่ในรอบสัปดาห์นี้ สัญญาทองคำปรับตัวขึ้น 1.28% เนื่องจากนักลงทุนขายทำกำไร หลังจากราคาพุ่งขึ้นก่อนหน้านี้ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 2,685.70 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.66%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 871.94/ -0.59%

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

30 ก.ย.จีน: NBS Manufacturing PMI (ก.ย.)
1 ต.ค.ยูโรโซน: เงินเฟ้อ (ก.ย.)

สหรัฐ: ISM Manufacturing PMI (ก.ย.), JOLT Job Quits (ส.ค.)

2 ต.คประชุมกลุ่ม OPEC+
3 ต.คสหรัฐ: ISM Services PMI (ก.ย.)
4 ต.คสหรัฐ: Non-Farm Payrolls (ก.ย.), Unemployment rate (ก.ย.)
- Advertisement -