บล.ทิสโก้คาดเงินกองทุนวายุภักษ์หนุนหุ้นไทยเดือนตุลาคมปรับขึ้นช่วงครึ่งเดือนแรก ชี้เป็นโอกาสขายกำไร และรอช้อนซื้อคืนอีกครั้งช่วงครึ่งเดือนหลัง พร้อมให้เป้าหมายเชิงกลยุทธ์สิ้นปี 2567 ที่ 1,500-1,520 จุด และเปิดชื่อหุ้นที่คาดว่างบไตรมาส 3/2567 ออกมาดีและเป้าเงินกองทุน TESG อาจไหลเข้า 

นายอภิชาติ ผู้บรรเจิดกุล, CISA ผู้อำนวยการอาวุโส สายงานวิเคราะห์เชิงกลยุทธ์ บริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ จำกัด เปิดเผยว่า การเริ่มเข้าลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ในเดือนตุลาคมนี้ บล.ทิสโก้มองอย่างน้อยน่าจะช่วยหล่อเลี้ยงภาวะตลาดได้ในช่วงครึ่งเดือนแรก แต่ในช่วงครึ่งเดือนหลัง คาดนักลงทุนจะหันมาโฟกัสการประกาศผลประกอบการและใช้ความระมัดระวังมากขึ้นก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ ในต้นเดือนหน้า ซึ่งปกติตลาดสหรัฐฯ มักจะปรับตัวลง 5-10% ในช่วง 1 เดือนก่อนการเลือกตั้งสหรัฐฯ

ดังนั้น บล.ทิสโก้แนะนำนักลงทุนหาจังหวะทยอยขายทำรอบกำไรในช่วงครึ่งเดือนแรก รอย่อตัวซื้อคืนในช่วงครึ่งเดือนหลัง โดยคาดหวังตลาดกลับมาเดินหน้าขึ้นต่อในช่วงที่เหลือของปีนี้หลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ มีความชัดเจน หนุนกระแสเงินทุนต่างชาติไหลเข้าต่อ ผสานกับเม็ดเงินกองทุนลดหย่อนภาษีที่ปกติจะไหลเข้ามากสุดในช่วงปลายปีนี้ โดยบล.ทิสโก้มีเป้าหมาย SET Index เชิงกลยุทธ์สิ้นปีนี้ที่ 1,500-1,520 จุด

ด้วยเม็ดเงินกองทุนวายุภักษ์และกองทุน TESG ให้ความสำคัญประเด็น ESG ดังนั้น บล.ทิสโก้จึงคัดเลือกหุ้นที่อยู่ใน SETESG Index ที่มี ESG Rating ระดับ A ขึ้นไป และเป็นหุ้นที่คาดว่างบไตรมาส 3/2567 จะออกมาดี ดังนั้น หุ้นเด่นในเดือนตุลาคม คือ CBG, CK, CRC, HMPRO, MTC, PR9, SIRI และ TTB  ด้านแนวรับสำคัญเดือนนี้อยู่ที่ 1,430 จุด และ 1,410+ – และแนวต้านสำคัญของเดือนนี้อยู่ที่ 1,480 จุด 1,500-1520 จุดตามลำดับ

สำหรับมุมมองเรื่องค่าเงินบาท การปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และหุ้นที่ได้รับประโยชน์หาก ธปท.ปรับอัตราดอกเบี้ยลงนั้น นายอภิชาติกล่าวว่า หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยลง และส่งสัญญาณเชิงผ่อนคลายที่ชัดเจนกว่าธนาคารกลางอื่นๆ ส่งผลให้ในช่วงที่ผ่านมาค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างรวดเร็ว ขณะที่ในอนาคตศูนย์วิเคราะห์เศรษฐกิจและกลยุทธ์ทิสโก้ (TISCO ESU) คาดว่าค่าเงินบาทมีโอกาสแข็งค่าไปถึง 32 – 32.50 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐฯ จากแรงหนุนเชิงพื้นฐาน เช่น การเกินดุลบัญชีเดินสะพัด และดุลบัญชีทุนเคลื่อนย้ายที่มีแนวโน้มเกินดุล ประกอบกับเศรษฐกิจไทยที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงไตรมาส 1 ปีหน้า จะหนุนเงินทุนต่างชาติมีแนวโน้มไหลเข้าต่อเนื่อง

 

 

- Advertisement -