Daily Focus: SET แกว่ง Sideways ระยะสั้นกรอบ 1,440-1,470 จุด
2024 SET Target : 1470
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นทั่วโลก ปิดลบได้ 13.26 จุด ที่ระดับ 1,451.40 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 5.8 หมื่นลบ. โดยถูกกดดันจากสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางที่ตึงเครียดขึ้น หลังอิหร่านเริ่มโจมดีอิสราเอล ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติขาย สุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องเป็นวันที่ 6 และเร่งขึ้นเป็น 5.4 พันลบ. ขณะที่สถาบันในประเทศเป็นฝ่ายรับโดยซื้อสุทธิสูงขึ้นเป็น 4.7 พันลบ. ซึ่งเป็นผลจากเม็ดเงินใหม่ของวายุภักษ์ 1 ที่เริ่มลงทุน (สถานะใน Index Futures ต่างชาติ Short สุทธิหนาแน่น 2.5 หมื่นสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index ยังอยู่ในช่วงแกว่ง Sideways สร้างฐานระยะสั้นในกรอบ 1,440-1,470 จุด ภาพรวมบรรยากาศการลงทุนยังไม่มีทิศทางชัดเจน โดยมีปัจจัยที่รอติดตาม ทั้งสถานการณ์สงครามในตะวันออกกลางที่ดึงเครียดขึ้น ล่าสุดอิสรายืนยันจะมีการตอบโต้อิหร่านอย่างเจ็บปวด ทำให้ราคาน้ำมันดิบยังไต่ระดับขึ้นอีกเล็กน้อย ขณะที่ภาพเศรษฐกิจตลาดยังรอติดตามตัวเลขของสหรัฐฯหลังล่าสุด Job Openings และการจ้างงานภาคเอกชนจาก ADP ในเดือน ก.ย. ออกมาดีกว่าที่คาด สะท้อนตลาดแรงงานที่ยังดูแข็งแรง ส่งผลให้ตลาดเริ่มลดความคาดหวังในการลดดอกเบี้ยครั้งละ 50 bps ของ FED ลง ส่งผลให้ Dollar Index และ Bond Yield ปรับตัวขึ้น กดดันค่าเงินบาทอ่อนค่าแตะ 33 บาท/ดอลลาร์ ตัวเลขที่ต้องตามต่อคืน นี้คือ ISM ภาคบริการ และสำคัญที่สุดในคืนพรุ่งนี้คือการจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราว่างงาน หากออกมาสงกว่าคาดเช่นกันจะทำให้ตลาดมอง FED ลดดอกเบี้ยช้าลง เม็ดเงินมีโอกาสชะลอหรือไหลออกจากตลาด EMs ในช่วงสั้น อย่างไรก็ตามเรายังมองการพักตัวของ SET Index จะไม่รุนแรง โดยมีเม็ดเงินใหม่จากกองทุนวายุรักษ์ 1 ที่คอยรับจากที่พักอยู่พันธบัตรระยะสั้นเป็นส่วนใหญ่ ขณะที่ความคาดหวังเชิงบวกต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจากรัฐบาลที่จะทยอยออกมาทั้งระยะสั้นและระยะยาว รวมถึงแนวโน้มเศรษฐกิจไทยใน 2H24-2025 ที่คาดฟื้นตัวต่อเนื่อง คาดยังหนุนให้ดัชนีทยอยไต่ระดับขึ้นได้ โดยเรายังมองกลุ่ม Domestic Play ยังดูน่าสนใจกว่า Global Play
กลยุทธ์ : เน้นลงทุนหุ้น Domestic Play ที่มีแนวโน้มกำไร 2H24-2025 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนต่อเนื่องระยะกลาง-ยาว
หุ้นเด่นเดือน ต.ค. : AOT, BCH, CBG, CPN, KCG
FSSIA Portfolio: AOT, CHG, CPALL, CPN, GPSC, KCG, KTB, MTC, NSL, SHR, TU
หุ้นเด่น Finansia 3 ต.ค. 24 : TU
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 17.30 บาท
- โมเมนตัมกำไร 3Q24 คาดว่าจะโตทั้ง q-q และ y-y หนุนจากทั้งปัจจัยฤดูกาลและยอดขาย Ambient และ Frozen ที่ฟื้นตัว รวมถึง ITC แนวโน้มผลการดำเนินงานดูดีกว่าที่เคยประเมิน
- ล่าสุดราคาปลาทูน่าเดือน ก.ย. ฟื้นตัวกลับมาอยู่ที่ US$1,400 ต่อตัน +12% m-m ซึ่งแม้จะเป็นต้นทุน แต่เรามองช่วยลดความกังวลในเรื่องการปรับลดราคาขายกับลูกค้าในช่วงถัดไป (ระดับ US$1,400-1,600 ต่อตันเป็นระดับที่เอื้อต่อการบริหารจัดการ) รวมถึงได้สต๊อกปลาราคาต่ำในเดือนก่อนคาดเป็นบวกต่อ Margin ใน 4Q24
- แนวรับ 14.60 บาท แนวต้าน 15-15.10//15.80 บาท
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาคสุทธิ US$433 ล้าน นำโดยเกาหลีใต้ US$246 ล้าน ส่วนไต้หวันปิดทำการเนื่องจากพายุ ส่วนอาเซียนเม็ดเงินยังคงไหลออกสูงสุดที่ไทย US$163 ล้าน มีเพียงฟิลิปปินส์และเวียดนามที่ไหลเข้าบางๆประเทศละ US$10 ล้านแนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่าจะผสมผสาน โดยตลาดยังจับตาสถานการณ์ระหว่างอิหร่าน-อิสราเอลว่าจะมีการตอบโต้รุนแรงขึ้นหรือไม่ รวมถึงรอจับตาตัวเลขเศรษฐกิจภาคแรงงานสหรัฐฯคืนวันศุกร์
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) DELTA คาดกำไรสุทธิ 3Q24 ที่ 6 พันลบ. +1% q-q , +18.7% y-y โดยคาดรายได้ที่เป็นสกุลเงินเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น +6% q-q, +6% y-y ไม่ได้ตื่นเต้น แม้รายได้ที่มาจาก AI ยังแข็งแกร่งตามเป้า และ EV น่าจะฟื้นตัวแต่ช้ากว่าคาด ขณะที่รายได้ที่เป็นสกุลเงินบาทลดลง 2.3% q-q และทรงตัว y-y จากผลกระทบค่าเงินบาทที่แข็ง ส่วนอัตรากำไรขึ้นต้นน่าจะทรงตัว q-q และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานจะสูงขึ้นจากค่า fees ที่ส่งให้ Delta Taiwan เพิ่ม นอกจากนี้อาจมีบันทึกรายการพิเศษ อาทิ FX loss, Inventory provision เป็นต้น คาดกำไรปกติ 9M24 ที่ 15.7 พันลบ.+22% y-y และคิดเป็น 76% ของประมาณการทั้งปี แนวโน้ม 4Q24 น่าจะชะลอจาก low season ของธุรกิจ คงประมาณการกำไรและราคาเป้าหมาย 110 บาท ยังแนะนำ “ถือ”
(+) BBL เราเชื่อว่าสินเชื่อจะเติบโตดีในปี 2025-26 จากวัฏจักรการลงทุนรอบใหม่ เนื่องจาก BBL เป็น well-diversified international bank และมีลูกค้าหลักเป็น Corporate หากพิจารณาจากการเติบโตของสินเชื่อในอดีตช่วงปี 2018-23 ที่ +5% CAGR สูงกว่าการเติบโตเฉลี่ยของ GDP ไทยที่ 1.5-4.2% ในช่วงเวลาเดียวกัน และกลุ่มสินเชื่อ Corporate และ international เป็นกลุ่มหนุนหลัก ดังนั้นเราจึงคาดแนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อปี 2024-26 เฉลี่ยที่ 3% สอดคล้องกับ GDP ที่คาดเติบโตราว 2.6-3% ขณะที่ด้านคุณภาพสินทรัพย์แม้ระยะสั้นยัง อ่อนแอ แต่ไม่ได้มีสัญญาที่น่ากังวล คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024-26 +3.7% CAGR และปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2025 ที่ 184 บาท Valuation ถูก เทรด P/BV เพียง 0.53 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต บวก Div. Yield 5% แนะนำ “ซื้อ”
(-) กลุ่มยาง (STA/TEGH) คณะกรรมาธิการยุโรปเสนอให้ขยายระยะเวลาปรับตัวสำหรับกฎระเบียบ EUDR ออกไปอีก 12 เดือนจากเดิมที่กำหนดให้เริ่มบังคับใช้ 30 ธ.ค.2024 นี้ เพื่อให้เวลาผู้ประกอบในแต่ละประเทศปรับตัว สำหรับการส่งสินค้า 7 กลุ่มเข้าไปในยุโรป ได้แก่ยางพารา ปาล์มน้ำมัน วัว โกโก้ กาแฟ ถั่วลิสง และไม้ ถือเป็น Sentiment เชิงลบต่อกลุ่มยางโดยเฉพาะ STA TEGH ที่เริ่มมีการขายยาง EUDR แล้ว เพราะหากเลื่อนออกไปจริง อาจทำให้คู่แข่งประเทศอื่นปรับตัวได้ทัน และทำให้ความได้เปรียบจากราคายาง EUDR ที่ยังสูง เพราะ Supply ที่ยังมีน้อยลดลง อย่างไรก็ตาม ยังเป็นเพียงข้อเสนอของคณะกรรมาธิการ ยังต้องรอความชัดเจน ด้วยการได้รับอนุมัติจากรัฐสภายุโรปก่อน
(+) หุ้นเป้าหมายกองทุนวายุภักษ์ 1 ระบุให้ผลตอบแทน 3-9% ระยะเวลาลงทุน 10 ปี เราคัดเลือกหุ้นที่คาดว่าจะเป็นเป้าหมายโดยอ้างอิง หุ้นที่มี ESG Rating A ขึ้นไปสำหรับ SET100 และ AA ขึ้นไปสำหรับหุ้นนอก SET100 โดยเน้นหุ้นที่มี Dividend Yield ราว 3% หรือสูงกว่า หรือหุ้นเติบโตดี (Dividend Yield อาจไม่ถึง 3%) ได้แก่ ADVANC AP BAM BBL BCH BDMS BJC CALL CPN HMPRO ICHI INTUCH KBANK KTB MEGA MINT OSP SC SIRI TISCO WHA WHAUP PR9 DIF 3BBIF TFFIF AIMIRT CPREIT LHHOTEL LHSC WHAIR
(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 39.55 จุด หรือ +0.09% ปิดที่ 42,196.52 จุด โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มพลังงาน อย่างไรก็ดี นักลงทุนยังคงวิตกกังวลเกี่ยวกับสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง และจับตาข้อมูลแรงงานของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตร
(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวก โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน ขณะที่นักลงทุนชะลอการลงทุนในสินทรัพย์เสี่ยง ท่ามกลางความวิตกเกี่ยวกับการทำสงครามเพิ่มขึ้นในตะวันออกกลาง
(+) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวก นำโดยตลาดนิกเกอิที่เปิดบวกราว 2.5% ตามค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงคืนเมื่อวานนี้
(-) ค่าเงินบาทอ่อนค่า อยู่ที่บริเวณ 32.87 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ +1.03%
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 27 เซนต์ หรือ 0.39% ปิดที่ 70.10 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้ปัจจัยหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าสถานการณ์ดึงเครียดในตะวันออกกลาง อาจจะส่งผลกระทบต่ออุปทานน้ำมันในภูมิภาคแห่งนี้ แต่ราคาน้ำมันลดช่วงบวก หลังจากสหรัฐฯ เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ปรับตัวเพิ่มขึ้น ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 70.73 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.90%
(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 20.60 ดอลลาร์ หรือ 0.77% ปิดที่ 2,669.70 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยกดดันตลาด ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลข้อมูลแรงงานของสหรัฐฯ และสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางอย่างใกล้ชิด ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 2,679.40 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.36%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 874.82/ –
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
3 ต.ค | สหรัฐ: ISM Services PMI (ก.ย.) |
4 ต.ค | สหรัฐ: Non-Farm Payrolls (ก.ย.), Unemployment rate (ก.ย.) |
7 ต.ค. | ไทย: เงินเฟ้อ (ก.ย.) |
9 ต.ค. | สหรัฐ: FOMC Minutes |
10 ต.ค. | สหรัฐ: เงินเฟ้อ (ก.ย.) |