Daily Focus: Sentiment บวกต่างประเทศยังหนุน // SET ลุ้นยืนเหนือ 1,470 จุดต่อเนื่อง
2024 SET Target: 1470
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ยังคงปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องระหว่างวัน ก่อนที่จะมีแรงขายออกมาทำให้ดัชนีลดช่วงบวกเหลือเพียง 1.58 จุด ณ สิ้นวัน ปิดที่ 1470.10 จุด ใกล้เคียงโซนแนวต้าน 1,470+- จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นขึ้นเป็น 6 หมื่นลบ. หุ้นที่นำตลาด ได้แก่ PTT GULF KTB นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิในตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องเป็นวันที่ 13 อีก 1.2 พันลบ. ขณะที่สถาบันในประเทศซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 9 อีก 3 พันลบ. (นักลงทุนต่างชาติและสถาบันในประเทศ Long Index Futures เล็กน้อยฝั่งละ 2-2.9 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่งตัว Sideways to Sideways Up โดยยังได้แรงหนุนจากฝั่งต่างประเทศโดยเฉพาะสหรัฐฯ ที่ดัชนีตลาดหุ้นยังปรับตัวขึ้นได้ต่อเนื่องหลังกลุ่มธนาคารเริ่มด้วย JP Morgan Chase และ Wells Fargo ประกาศกำไร 3Q24 ดีกว่าคาด ทำให้ตลาดคาดหวังเชิงบวกต่อแนวโน้มกำไรฝั่ง Real Sector รวมถึงเศรษฐกิจที่ยังแข็งแรง ส่วนตัวเลขเงินเฟ้อ PPI เดือน ก.ย. ที่ประกาศวันศุกร์ออกมาต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ทำให้ตลาดยังคาดว่า FED จะลดดอกเบี้ยได้ครั้งละ 25 bps ใน 2 การประชุมที่เหลือของปี ส่วนฝั่งจีนล่าสุด ก.คลังประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมในการจัดการปัญหาหนี้ท้องถิ่น เงินอุดหนุนผู้มีรายได้ต่ำ สนับสนุนตลาดอสังหาฯ เป็นต้น แต่ยังไม่ได้มีการระบุวงเงินในมาตรการเหล่านี้ ด้านปัจจัยในประเทศสัปดาห์นี้ติดตามการประชุมกนง. เราคาดยังคงดอกเบี้ยที่ 2.5% ส่วนครม.ประชุมวันนี้ให้ติดตามนโยบายฟื้นฟูเศรษฐกิจซึ่งจะเป็นมาตรการต่อเนื่องจากแจกเงินหมื่นเฟสแรก โดยคาดวงเงินราว 2 แสนลบ. เราคาดว่าตลาดจะเริ่มหันมาโฟกัสที่ผลประกอบการ 3Q24 บจ.มากขึ้นเริ่ม ที่กลุ่มธนาคารสัปดาห์นี้เช่นกัน หากออกมาไม่แย่กว่าคาดคาดยังเป็นปัจจัยหนุนให้ SET Index ทยอยไต่ระดับขึ้นได้ต่อเนื่องใน 4Q24-2025 ขณะที่ Downside ถูกจำกัดจากเม็ดเงินจากกองทุนวายุภักษ์ 1
กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่คาดแนวโน้มกำไร 3024 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนต่อเนื่องระยะกลาง-ยาว
หุ้นเด่นเดือน ต.ค. : AOT, BCH, CBG, CPN, KCG
FSSIA Portfolio: AOT, CHG, CPALL, CPN, GPSC, KCG, KTB, MTC, NSL, SHR, TU
หุ้นเด่น Finansia 15 ต.ค. 24 : NSL
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2025 ที่ 43 บาท
- เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อโมเมนตัมกำไร 3Q24 คาดที่ 136 ลบ. +1% q-q, +86% y-y สวนทางฤดูกาล โดยคาดว่าจะยังโตแกร่ง +3% q-q และ +20% y-y แม้เป็น Low Season หนุนจากสินค้าใหม่แซนวิชทาร์ตไข่ซึ่งได้รับผลตอบรับดีมาก
- บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2025 โต Double Digit หนุนจากทั้งการออกสินค้าใหม่และโตตามการขยายสาขาของ 7-Eleven รวมถึงบริษัทลูกที่เติบโตและช่วยเพิ่มสัดส่วนรายได้นอกเหนือจาก 7-Eleven เราคาดกำไรปี 2024-25 +57% y-y และ +13% y-y ตามลำดับ Valuation ไม่แพง เทรด 2025PER ที่ 17 เท่าและให้ Dividend Yield 3.4%
- แนวรับ 33.50//32.50 บาท แนวต้าน 35-36//37.25 บาท
Fund Flow : ช่วง 2 วันทำการที่ผ่านมากระแสเงินทุนไหลเข้าภูมิภาคสุทธิบาง US$233 ล้าน โดยไหลเข้าวันศุกร์และพลิกไหลออกวานนี้ ภาพรวมเม็ดเงินไหลเข้ากระจุกตัวที่ไต้หวัน US$705 ล้าน แต่ไหลออกจากเกาหลีใต้ US$366 ล้าน ส่วนฝั่งอาเซียนเม็ดเงินไหลออกทุกประเทศอย่างกระจายตัว ประเทศละ US$10-37 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่าจะยังค่อนไปในทิศทางไหลเข้า หลัง Sentiment จากฝั่งสหรัฐฯยังเป็นบวก หนุนจากความคาดหวังกำไร 3Q24 บจ.แข็งแกร่ง
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) ติดตามผลประกอบการกลุ่มธนาคารในสัปดาห์นี้ เราคาดธนาคารทั้ง 7 แห่งที่เราทำการศึกษาจะรายงานกำไรสุทธิ 3Q24 รวม เพิ่มขึ้น +1.3% q-q และ +7.5% y-y เป็น 5.42 หมื่นลบ. จากรายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยสุทธิ (Non-NII) ที่สูงขึ้น โดยเฉพาะจากรายได้ค่าธรรมเนียมและผลขาดทุนทางเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ที่ลดลง ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่ค่อนข้างทรงตัว คุณภาพสินทรัพย์มีความน่ากังวลลดลงใน 3Q24 และไม่มีสัญญาณที่น่ากังวลเกี่ยวกับสินเชื่อขนาดใหญ่ คาดกำไรสุทธิปี 2024 รวมอยู่ที่ 2 แสนลบ. +2.6% y-y ส่วนมากจากฐานที่สูงในปี 2023 สำหรับในปี 2025-26 คาด Upside risk ต่อประมาณ 5.7-6.8% y-y ที่คาดจะได้จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ เราคงน้ำหนักการลงทุน Neutral โดยมี KTB (ราคาเป้าหมาย 23.50 บาท) และ BBL (ราคาเป้าหมาย 184 บาท) เป็น Top picks
(0) TISCO รายงานผลประกอบการวันนี้ เราคาดกำไรสุทธิ 3Q24 ที่ 1.69 พันลบ. -3% q-q และ -9.6% Y-Y จากรายได้ค่าธรรมเนียมของธุรกิจ Investment Banking และธุรกิจหลักทรัพย์ที่ชะลอตามภาวะตลาดหุ้นที่ซบเซา และคาดไม่มีกำไรจาก trading investment ใน FVTPL ส่วนการเติบโตของสินเชื่อยังชะลอตัว และ NIM คาดอยู่ที่ 4.9% เพิ่มขึ้นเล็กน้อยจาก สินเชื่อที่มี Yield สูง ด้านคุณภาพสินทรัพย์ยังไม่ดีขึ้น แม้ตั้งสำรอง ECL ลดลง โดยคาด NPL เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.49% คาดกำไรสุทธิ 9M24 -6% y-y และคิดเป็น 75% ของประมาณการทั้ง ปี 2024 -5% y-y ราคาเป้าหมายปี 2025 ที่ 98 บาท Div. yield 8% ต่อปี คงคำแนะนำ “ถือ”
(+) MAGURO เราคาดกำไรสุทธิ 3Q24 จะกลับมาฟื้นตัวดีจากค่าใช้จ่ายจากการเข้าตลาดฯ ที่หายไปและผลบวกของสาขาใหม่ โดยคาดกำไร +74% q-q, +18% y-y ไตรมาสนี้มีเปิดสาขาใหม่ 4 แห่ง (Maguro 1, Hitori 3) ชดเชย SSSG ที่ลดลง 1% y-y ได้ นอกจากนี้ ราคาแซลมอนลดลงต่ำสุดในรอบ 2 ปี ช่วยชดเชยค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการเปิดสาขาใหม่ได้ ส่วนประเด็นน้ำท่วม บริษัทยังไม่ได้รับผลกระทบเนื่องจากสาขาอยู่ในกรุงเทพและปริมณฑล และยังมีแผนเปิดสาขาอีก 6 แห่งใน 4Q24 ที่ One Bangkok, สาขา Stand alone บนถนนประดิษฐ์มนูธรรมรวมถึงแบรนด์ใหม่ Tonkatsu Aoki ที่ Central World เบื้องต้นเราคาดกำไร 4Q24 เป็นกำไร สูงสุดของปี เรายังคาดกำไรปี 2024-25 +16%/44% คงราคาเป้าหมายปี 2025 ที่ 22 บาท หุ้นเทรดที่ PE เพียง 17.8x ทั้งที่กำไรอยู่ในทิศทางขาขึ้น เราคงราคาเป้าหมาย 22 บาท แนะนำ “ซื้อ”
(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 201.36 จุด หรือ +0.47% ปิดที่ 43,065.22 จุด ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ครั้งใหม่ในวันจันทร์ (14 ต.ค.) โดยดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกเหนือระดับ 43,000 จุดได้เป็นครั้งแรก เนื่องจาก นักลงทุนพากันเข้าซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีก่อนการเปิดเผยผลประกอบการและข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้ ขณะที่การซื้อขายในวันจันทร์เป็นไปอย่างเบาบางเนื่องจากตลาดพันธบัตรสหรัฐฯ ปิดทำการเนื่องในวันโคลัมบัส (Columbus Day)
(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวก ที่ระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ก่อนการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนและการประชุมกำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในสัปดาห์นี้ ขณะที่การซื้อขายเป็นไปอย่างระมัดระวัง หลังจากนักลงทุนผิดหวังกับการประกาศมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจีนในช่วงสุด สัปดาห์ที่ผ่านมา
(+) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวก สอดคล้องกับทิศทางของตลาดสหรัฐฯ วานนี้ นำโดยตลาดนิกเกอิที่เปิดบวกอยู่ 1.2%
(+) ค่าเงินบาทแข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 33.15 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -0.88%
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 1.73 ดอลลาร์ หรือ 2.29% ปิดที่ 73.83 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) ประกาศปรับลดตัวเลขคาดการณ์อุปสงค์น้ำมันทั้งในปีนี้และปีหน้า ในขณะที่เช้านี้ปรับลดลงแรงอยู่ที่ระดับ 71.83 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -2.74%
(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 10.70 ดอลลาร์ หรือ 0.40% ปิดที่ 2,665.60 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยถูกกดดันจากการแข็งค่าของเงินดอลลาร์ ซึ่งลดความน่าดึงดูดของทอง เพราะทำให้สัญญาทองมีราคาแพงขึ้นสำหรับผู้ถือครองเงินสกุลอื่น ในขณะที่เช้านี้ทรงตัวอยู่ที่ระดับ 2,656.40 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.01%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 880.57/ +0.49%
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
15-21 ต.ค. | ไทย: กลุ่มธนาคารประกาศงบ 3Q24 |
15 ต.ค. | แคนนาดา: เงินเฟ้อ (ก.ย.) จีน: PBoC 1-year MLF Announcement |
16 ต.ค. | ไทย: ประชุม กนง. ฟิลิปปินส์: ธนาคารกลางประชุม |
17 ต.ค. | ญี่ปุ่น: ดุลการค้า (ก.ย.) ยูโรโซน: ECB ประชุม, อัตราเงินเฟ้อเดือน ก.ย. |
18 ต.ค. | จีน: GDP 3Q24, ยอดค้าปลีก (ก.ย.) มาเลเซีย: GDP 3Q24 |