KS Daily View 24.10.2024 >>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงแรงนำโดยหุ้นเทคโนโลยี หลัง Bond Yield 10 ปี ของสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องมาที่ 4.25% ด้าน SET Index มีโอกาสปรับฐานต่อหลังย่อแรงที่ระดับ 1,500 จุด เงินบาทยังอ่อนค่าต่อเนื่อง มองกรอบที่ 1,450 – 1,480 แนะนำ AMATA, TKN

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลงติดต่อกันเป็นวันที่สาม Dow Jones -0.96%, S&P 500 -0.92%, Nasdaq Composite -1.60% และ Russell 2000 -0.79% หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ปรับตัวขึ้นต่อราว 3 bps สู่ระดับ 4.25% จากความกังวลเกี่ยวกับงบประมาณขาดดุลของสหรัฐฯ ที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นหลังการเลือกตั้ง รวมถึงรายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจสหรัฐฯ (Fed Beige Book) ที่สะท้อนถึงแนวโน้มเศรษฐกิจที่ชะลอตัวมากกว่าข้อมูลทางเศรษฐกิจที่รายงานออกมา

ในวันอังคาร ตลาดหุ้นไทยปรับฐานแรงหลังจากยืนทดสอบที่ระดับ 1,500 จุดมาหลายวัน โดย SET ปรับตัวลง 18 จุด ปิดที่ 1,470.32 จุด โดยเป็นการปรับตัวลงแรงในทุก Sector นำโดยหุ้นในกลุ่ม New Co อย่าง ADVANC, GULF และ INTUCH รวมถึงกลุ่มพลังงาน ธนาคาร และค้าปลีก โดยมี DELTA และ TRUE คอยพยุงดัชนีเอาไว้ ปัจจัยกดดันมาจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาล 10 ปี ของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งก็ได้กดดันให้ตลาดหุ้นในภูมิภาคปรับตัวลงด้วยเช่นกัน นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิที่ 1,645 ล้านบาท รวมถึงนักลงทุนสถาบันที่ขายสุทธิเช่นกันที่ 690 ล้านบาท ด้วยค่าเงินดอลลาร์ที่ยังแข็งค่าขึ้นต่อเนื่อง และเงินบาทที่อ่อนค่าต่อมาที่บริเวณ 33.7 บาทต่อดอลลาร์ อาจกดดันภาพของ Fund Flow ไหลออกต่อเนื่อง มอง SET ยังอยู่ในช่วงปรับฐาน ประเมินกรอบที่ 1,450 – 1,480 แนะนำ AMATA, TKN

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

  1. นายพิชัย รมว.พาณิชย์ เปิดเผยกับบลูมเบิร์กว่า Nvidia บริษัทชิปยักษ์ใหญ่จากสหรัฐฯ เตรียมประกาศแผนลงทุนในไทยช่วงเดือนธันวาคม 2024 โดย Jensen Huang ซีอีโอจะเดินทางมากรุงเทพฯ ตามรอย Alphabet บริษัทแม่ของ Google และ Microsoft ที่ลงทุนในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งกำลังเป็นศูนย์กลางสำคัญสำหรับศูนย์ข้อมูล AI
  2. โฆษกรัฐบาลเผยว่า 9 เดือนแรกปี 2024 มีการขอส่งเสริมการลงทุนสูงสุดในรอบ 10 ปี รวม 2,195 โครงการ เพิ่มขึ้น 46% มูลค่า 722,528 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 42% โดย FDI จากสิงคโปร์ จีน และฮ่องกง มี 1,449 โครงการ มูลค่า 540,000 ล้านบาท อุตสาหกรรมที่ลงทุนสูงสุดคือ อิเล็กทรอนิกส์ ดิจิทัล และยานยนต์ ส่วนใหญ่ลงทุนในภาคตะวันออก
  3. ททท. นำผู้ประกอบการไทย 32 ราย ร่วมงาน ITB Asia 2024 ที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นงานส่งเสริมการท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย มีผู้เข้าร่วมกว่า 13,000 คนจาก 132 ประเทศ ไทยได้รับรางวัล “Most Popular Destination” จาก Trip.com ททท. ตั้งเป้ารับนักท่องเที่ยวสิงคโปร์ 1 ล้านคนในปี 2024 สร้างรายได้ 48,000 ล้านบาท ปัจจุบันมีนักท่องเที่ยวสิงคโปร์เข้าไทยแล้ว 747,994 คน
  4. IMF ปรับลดคาดการณ์เศรษฐกิจโลกปี 2025 เหลือ 3.2% ท่ามกลางความเสี่ยงจากสงครามและนโยบายกีดกันทางการค้าที่เพิ่มขึ้น โดยสหรัฐฯ มีแนวโน้มดีขึ้น ปรับเพิ่มเป็น 2.8% ในปี 2024 และ 2.2% ในปี 2025 ส่วนจีนถูกปรับลดลงเหลือ 4.8% ในปี 2024 เนื่องจากปัญหาภาคอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่ไทยถูกปรับลดเหลือ 2.8% ในปี 2024 และ 3.0% ในปี 2025
  5. ธนาคารกลางแคนาดาประกาศลดอัตราดอกเบี้ยครั้งใหญ่ 50 bps ลงมาที่ 3.75% ซึ่งเป็นการลดมากที่สุดนับตั้งแต่เดือนมีนาคม 2020 หลังเงินเฟ้อชะลอตัวลงเหลือ 1.6% ในเดือนกันยายน ผู้ว่าการ Tiff Macklem ระบุว่าเศรษฐกิจกำลังกลับสู่ภาวะเงินเฟ้อต่ำ และธนาคารกลางต้องการรักษาเสถียรภาพ โดยคาดการณ์ว่า GDP จะเติบโต 2.1% ในปี 2025 ท่ามกลางการฟื้นตัวของภาคอสังหาริมทรัพย์ และอาจมีการลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมหากเศรษฐกิจเป็นไปตามคาด
  6. สถาบันการเงินและการธนาคารของจีน (CASS) เสนอให้รัฐบาลจีนออกพันธบัตรพิเศษมูลค่า 2 ล้านล้านหยวน (2.8 แสนล้านดอลลาร์) เพื่อตั้งกองทุนรักษาเสถียรภาพตลาดหุ้น โดยมีเป้าหมายซื้อขายหุ้นบลูชิพและ ETFs เพื่อช่วยพยุงตลาด ข้อเสนอนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายงานเศรษฐกิจประจำไตรมาส และธนาคารกลางจีนโดยผู้ว่าการ พาน กงเซิ่ง ยืนยันว่าอยู่ระหว่างศึกษาความเป็นไปได้

หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:

  • AMATA : ราคาพื้นฐาน 29.50

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อจำนวน Backlog ของ AMATA ที่ทำ All time high มากถึง 16.9 พันล้านบาท โดย Backlog ของ AMATA มีความแข็งแกร่งมากจากการที่ลูกค้าต้องวางเงินมัดจำในสัดส่วนที่สูงกว่าอสังหาริมทรัพย์เพื่ออยู่อาศัย โดยเงินมัดจำที่ได้รับจากลูกค้าอยู่ในงบดุลก็สูงขึ้นเป็นประวัติการณ์เช่นกัน นอกจากนี้ความต้องการที่ดินเพื่ออุตสาหกรรมในตอนนี้มีความต้องการสูงกว่าอุปทานเป็นจำนวนมาก จากการย้ายฐานการผลิตของจีนและไต้หวันทำให้ทั้ง AMATA และ WHA สามารถปรับราคาขายที่ดินได้ซึ่งอาจจะเป็น Upside สำหรับ GPM ในอนาคต เรามองว่าหาก AMATA สามารถโอน Backlog ได้อย่างแข็งแกร่งในอนาคตจะสามารถช่วยลด Discount rate ของ NAV ซึ่งจะมีโอกาสเพิ่ม Upside ในอนาคตได้

  • TKN : ราคาพื้นฐาน 13.60

ถึงแม้ผลประกอบการใน 3Q24 จะได้รับผลกระทบจากราคาต้นทุนสาหร่ายที่ขึ้นมากกว่า 50% ในช่วงที่ผ่านมา และคาดว่าจะยังคงใช้ต้นทุนนี้ไปจนถึง 1Q25 แต่เรามองว่าจุดนี้เป็นโอกาสในการสะสมเนื่องจากราคาต้นทุนสาหร่ายนำเข้าจากเกาหลีได้ปรับตัวลดลงจากจุดสูงสุด ติดต่อกันแล้วถึง 3 เดือนในช่วงที่ผ่านมา และเราคาดจะเข้าสู่สภาวะที่ดีขึ้นเนื่องจากอุณหภูมิของน้ำทะเลลดลง และมีปริมาณการเพิ่มพื้นที่เพาะปลูกของเกาหลีในช่วงที่ผ่านมา นอกจากนี้เรามองว่า สินค้าของ TKN มีโอกาสขยายตลาดไปได้อย่างต่อเนื่องในสหรัฐฯ อินโดนีเซีย มาเลเซีย และยุโรปซึ่งจะเพิ่มโอกาสเติบโตในอนาคต และเมื่อ GPM กลับเข้าสู่ภาวะปกติเราคาดว่าจะเป็นช่วงเวลาที่ TKN จะกลับมาเติบโตอีกครั้ง

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันพฤหัสฯ ติดตามตัวเลขส่งออกของไทยจากกระทรวงพาณิชย์เดือน ก.ย. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ +7.0% YoY และ ตัวเลขนำเข้าเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ +8.9% YoY ต่อด้วยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของโซนยุโรปครั้งแรก (HCOB Manufacturing PMI Flash) เดือน ต.ค. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 45.0 จุด และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของสหรัฐครั้งแรก (S&P Global US Manufacturing PMI Flash) เดือน ต.ค. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 47.3 จุด จำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.41 แสนตำแหน่ง
  • วันศุกร์ ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อของญี่ปุ่นในเมืองโตเกียวที่ไม่รวมราคาอาหาร (Tokyo CPI excluding food) เดือน ต.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ +1.7% YoY ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ +2.0% YoY ต่อด้วยรายงานยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนครั้งแรก (Durable Goods Orders prelim) ของสหรัฐฯเดือน ก.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ -1.0% MoM ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ +0.0% MoM ปิดท้ายด้วยคาดการณ์ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภครัฐจากมหาวิทยาลัยมิชิแกน (Michigan Consumer Sentiment Prelim) ของสหรัฐฯเดือน ต.ค. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 68.9 จุด
- Advertisement -