Daily Focus: ลุ้นฟื้นตัวระยะสั้นแต่ Upside ยังไม่กว้าง // จับตากำไรบจ. 3Q24

2024 SET Target: 1470

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวลงต่อเนื่องตามคาด ปิดลบอีก 9.68 จุดที่ 1,460.64 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่ 5.4 หมื่นลบ. ถูกกดดันจากทั้งปัจจัยต่างประเทศที่ Bond Yield ขยับขึ้นต่อเนื้อง กลุ่มที่ถ่วงตลาด ได้แก่ ท่องเที่ยว ค้าปลีก ขนส่ง การแพทย์ เป็นต้น สถาบันในประเทศและนักลงทุ่นต่างชาติยังคงขายสุทธิในตลาดหุ้นต่อเนื่องอีก 1.7 พันลบ. และ 398 ลบ. ตามลำดับ (แต่ต่างชาติพลิกมา Long Index Futures อีก 3.8 พันสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index แกว่ง Sideways โดยมีโอกาสฟื้นตัวระยะสั้นได้บ้างในกรอบ 1,460-1,470 จุด หลังปรับตัวลงจาก High ในช่วง 4 วันล่าสุดราว 46 จุดหรือ 3% รวมถึงบรรยากาศการลงทุนจากต่างประเทศที่ผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย โดย Bond Yield 10 ปีสหรัฐฯและ Dollar Index ย่อตัวลงบ้าง หนุนเม็ดเงินไหลกลับหาสินทรัพย์เสียง รวมถึง Tesla ที่ปรับขึ้นแกร่ง 22% จาก Outlook ปี 2025 ที่เป็นบวก คาดเป็น Sentiment บวกต่อกลุ่มเทคโนโลยีต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ภาพรวม Upside ระยะสั้นคาดว่ายังค่อนข้างจำกัด โดยตลาด จันตาทั้งการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯวันที่ 7 พ.ย. หลังคะแนนนิยมของทรัมป์-แฮร์ริสสูสีกันอย่างมาก รวมถึงติดตามการทยอยคาดการณ์และประกาศกำไรบจ. 3Q24 ในช่วง 2-3 สัปดาห์ข้างหน้า เบื้องต้นประเมินกำไร -16% q-q, +3% y-y ซึ่งหากไม่ได้ออกมาต่ำกว่าคาด และไม่เกิด Downside ต่อ EPS ของ SET ปี 2024-25 อย่างมีนัยยะ เรายังเชื่อว่าดัชนีจะทยอยฟื้นตัวได้ต่อเนื่องในระยะกลาง-ยาว โดยหากประเมินจาก Earnings Yield Gap ปัจจุบันที่ยังกว้างราว 4.3% สูงกว่าค่าเฉลี่ยที่ราว 3.7-3.8% สะท้อนถึง Upside ของดัชนีในปีหน้าอีกราว 100+- จุด ซึ่งใกล้เคียงกับ SET Target เบื้องต้นในปี 2025 ที่ 1,600+- จุด เรายังมองเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Domestic Play โดยเฉพาะภาคการบริโภค ได้แก่ ไฟแนนซ์ ค้าปลีก อาหารเครื่องดื่ม เป็นต้น ซึ่งจะได้อานิสงส์จากทั้งดอกเบี้ยที่ขยับลงและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากครม. ขณะที่ Downside ยังคงถูกจำกัดจากเม็ดเงินลงทุนของกองทุนวายุภักษ์

กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่คาดแนวโน้มกำไร 3Q24 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนต่อเนื่องระยะกลาง-ยาว

หุ้นเด่นเดือน ต.ค. : AOT, BCH, CBG, CPN, KCG

FSSIA Portfolio: AOT, CHG, CALL, CPN, GPSC, KCG, KTB, MTC, NSL, SHR, TU

หุ้นเด่น Finansia 25 ต.ค. 24 : CPALL

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2025 ที่ 83 บาท
  • โมเมนตัมกำไรปกติ 3Q24 คาดยังแข็งแกร่งที่ 5.9 พันลบ. –4% q-q, +38% y-y หนุนจาก SSSG ที่คาดเป็นบวก 3% ทั้ง 7-eleven Makro และ Lotus’s ขณะที่ Margin คาดยังอยู่ในระดับที่ดีต่อเนื่อง 
  • เราคาดกำไรปกติปี 2024-25 ที่ 2.45 หมื่นลบ. +35% y-y และ 2.77 หมื่นลบ. +13% y-y ตามลำดับ ราคาหุ้นปรับลงแรงช่วง 2-3 วันทีผ่านมาเข้าใกล้แนวรับหลักระยะสั้น ขณะที่ Valuation ยังน่าสนใจ เทรด 2025PER 21 เท่า 
  • แนวรับ 64-63.50 บาท แนวต้าน 66.50-67//68 บาท

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาคต่อเนื่องตามคาดและเร่งตัวขึ้นเป็น US$824 ล้าน นำโดยเกาหลีใต้ US$492 ล้าน ตามด้วยไต้หวัน US$278 ล้าน ส่วนฝั่งอาเซียนเม็ดเงินไหลออกทุกประเทศแต่ปริมาณไม่หนาแน่นนัก สูงสุดที่อินโดนีเซีย US$30 ล้านแนวโน้มของกระแสเงินคาดชะลอการไหลออกหรือลุ้นพลิกมาไหลเข้าได้บ้างหลัง Dollar Index และ 10Y Bond Yield สหรัฐฯเริ่มย่อตัวเล็กน้อย หนุนตลาดหุ้นฟื้นตัวได้บ้าง

ประเด็นสำคัญวันนี้

(-) กลุ่มยายุยนต์ ส.อ.ท. เผยยอดขายถรถยนต์ในประเทศเดือน ก.ย. 2024 ที่ 39,048 คัน -13.6% y-y ต่ำสุดในรอบ 53 เดือน จากการเข้มงวดใฝนการอนุมัติเสินเชื่อและเศรษฐกิจทีโตต่ำ ส่วนการส่งออกลดลง -6.8% q-q, -17.7% y-y จากความขัดแย้งในตะวันออกกลาง ส่งผลให้มียอดผลิตรถยนต์เดือนกันยายนเหลือ 1.2 แสนคัน -25.5% เตรียมปรับลดเป้าเดือนหน้าและชื้สัญญาณบวกยังไม่มีอาจลากยาวถึงปีหน้า ปัจจัยดังกล่าวจะยังกดดันหุ้นในกลุ่มยานยนต์ โดยรวมและเรายังให้น้ำหนักลงทุนเป็น Underweight

(0) MINT คาดกำไรปกติ 3Q24 ที่ 2.7 พันลบ. -17% q-q, +18% y-y จาก ReVPAR ที่เพิ่มขึ้น ทั้งยุโรปและไทย ส่วนธุรกิจร้านอาหารคาด SSSG -3% y-y อย่างไรก็ดีคาด 3Q24 จะมีบันทึก derivative loss 2.3-2.5 พันลบ. จากการผันผวนของ FX ทำให้กำไรสุทธิ 3Q24 คาดอยู่ที่ 300 ลบ. แนวโน้มกำไร 4Q24 ดีต่อจาก RevPAR โตต่อเนื่องทั้งในยุโรปและไทย และภาระดอกเบี้ย จ่ายจะลดลงหลังชำระหนี้ 5-6 พันลบ. คงราคาเป้าหมาย 44 บาท แนะนำ “ซื้อ”

(-) GLOBAL คาดกำไรสุทธิ 3Q24 ที่ 488 ลบ. -36% q-q จากปัจจัยด้านฤดูกาล และ -7% y-y จากยอดขายที่อ่อนแอและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้น เราปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2024-26 ล่ง 5-9% จาก SSSG ที่ต่ำกว่าคาดและ SG&A ที่สูงเกินคาด เป็นคาดกำไรสุทธิปี 2024 -5% y-y และ +16% y-y ในปี 2025 และปรับใช้ราคาเป้าหมายเป็นปี 2025 ที่ 17.30 บาท Upside จำกัดลดคำแนะนำเป็น “ถือ”

(+) TIDLOR คาดกำไรสุทธิ 3024 ที่ 1 พันลบ. -2% q-q, +7% y-y จาก ECL ที่สูงขึ้นตามการเสือมของคุณภาพสินทรัพย์และค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานที่สูงขึ้น แม้ว่าคุณภาพสินทรัพย์จะอยู่ในระดับที่จัดการได้แต่ยังเสื่อมลงต่อเนื่องโดยคาดว่าสัดส่วนหนี้ด้อยคุณภาพ และต้นทุนความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อจะเพิ่มขึ้นใน 3Q24 คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024-26 เติบโตเฉลี่ยที่ 16% CAGR ราคาเป้าหมาย 17.64 บาท แนะนำ “ซื้อ”

(0) PSL คาดกำไรสทธิ 3Q24 ที่ 379 ลบ. -28% q-q, +285% y-y หากไม่รวม FX loss กำไรปกติจะ -9% q-q ปัจจัยกดดันหลักมาจากค่าระวางเรือที่ปรับลง อย่างไรก็ดี Supramax Index เฉลี่ยอยู่ที่ 1,262 จุด ในช่วง 4QTD -4% q-q น่าจะเป็น downside เล็กน้อยต่อประมาณการกำไรปี 2024 ของเร่าที่คาดกำไรปกติปี 2024 +132%y-y และ 2025 -22% y-y จาก supply มากกว่า demand คงราคาเป้าหมาย 8.50 บาท แนะนำ “ถือ”

(0) SC คาดกำไรปกติ 3Q24 เพิ่มขึ้น 41% q-q และทรงตัว y-y หนุนจากยอดโอน 3Q24 เป็น 5.5 พันลบ. +28% q-q, +6% y-y จากความสำเร็จของกลยุทธ์การขายใหม่และการรับรู้ Backlog โครงการแนวราบ แนวโน้มกำไร 4Q24 คาดโต q-q เป็นระดับสูงสุดของปี ผลักดันจากแผนการเริ่มโอน 2 คอนโดใหม่ และรับรู้ Backlog แนวราบ คงกำไรสุทธิปี 2024-25 -19% y-y และ +10% y-y ตามลำดับ ราคาเป้าหมายปี 2025 ที่ 3.20 บาท แนะนำ “ถือ”

(-) BJC คาดกำไรสุทธิอาจน้อยกว่าที่เราเคยมอง หลักๆ จาก unrealized FX loss จำนวน 160 ลบ. แต่กำไรปกติยังใกล้เคียงกับที่เคยมองที่ 918 ลบ. -24% q-q, +9% y-y หากกำไรปกติเป็นไปตามคาด กำไรปกติ 9M24 จะเท่ากับ 70% ของประมาณการทั้งปี โดยเรายังคงกำไรปกติ BJC ปี 2024 ที่ 4.4 พันลบ. -6% y-y แนวโน้ม SSSG 3 อาทิตย์แรกของเดือน Oct. ฟื้นตัวขึ้นเป็น 3-4% ราคาเป้าหมายปี 2025 ที่ 31 บาท แนะนำ “ซื้อ”

(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 140.59 จุด หรือ -0.33% ปิดที่ 42,374.36 จุด โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นโบอิ้ง (Boeing) และหุ้นอินเตอร์เนชั่นแนล บิสซิเนส แมชชีน (IBM) แต่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนบวก ขานรับผลประกอบการของบริษัทเทสลา (Tesla) และการชะลอตัวของอัตราผลตอบแทน พันธบัตรสหรัฐฯ

(0) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดทรงตัว ขณะที่นักลงทุนประเมินข้อมูลกิจกรรมทางธุรกิจที่ชะงักงันในยูโรโซน และรายงานผลประกอบการจากบริษัทจดทะเบียนต่างๆ

(0) ตลาดหุ้นเอเชียเปิดผสม โดยมีประเด็นให้จับตาคือผลการเลือกตั้งของญี่ปุ่น สุดสัปดาห์นี้

(+) ค่าเงินบาทแข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 33.69 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -0.35%

(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 58 เซนต์ หรือ 0.82% ปิดที่ 70.19 ดอลลาร์/บาร์เรล ท่ามกลางการซื้อขายที่ผันผวน หลังจากมีรายงานว่าสหรัฐฯ และอิสราเอลพยายามผลักดันให้มีการเจรจาหยุดยิงในฉนวนกาซา ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 70.56 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.53%

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 19.50 ดอลลาร์ หรือ 0.71% ปิดที่ 2,748.90 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้ปัจจัยหนุนจากการที่นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางและความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในขณะที่เช้านี้ลบอยู่ที่ระดับ 2,743.80 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.19%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 893.80/ –

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

25 ต.ค.ไทย: นำเข้า-ส่งออก (ก.ย.)

เยอรมนี: ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ (ต.ค.)

สหรัฐฯ: ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน (ก.ย.) ดัชนี้ความเชื่อมั่นผู้บริโภคและเงินเฟ้อคาดการณ์ของมิชิแกน (ต.ค.)

29 ต.ค.สหรัฐ: JOLTs Job Openings (ก.ย.)
30 ต.ค.สหรัฐ: GDP growth rate q-q Adv (Q3)

ยูโรโซน: GDP growth rate (Q3)

31 ต.ค.สหรัฐ: Core PCE Price Index (ก.ย.)

ญี่ปุ่น: ประชุม BoJ

จีน: NBS Manufacturing PMI (ต.ค.)

ยูโรโซน: Inflation Rate (ต.ค.)

- Advertisement -