บล.กรุงศรีฯ: 

เก่งหลังเกมส์ 

SET Index ปรับขึ้น +2.78 จุด +0.19%  ปิด 1463.4 จุด  แต่ยังปิดต่ำกว่าเส้นค่าเฉลี่ย EMA 10  วัน สะท้อนมุมมองตลาดหุ้นไทยเป็นขาลงระยะสั้น  มูลค่าการซื้อ 4.1 หมื่นล้านบาท หุ้นกลุ่มที่หนุนดัชนีคือ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ (DELTA) กลุ่มโรงพยาบาล (BDMS, BH)  กลุ่มการเงิน MTC ฯลฯ ส่วนกลุ่มที่กดดัชนีคือ กลุ่มพลังงาน (GULF, TOP) กลุ่มวัสดุก่อสร้าง (SCC)  กลุ่มค้าปลีก (CPAXT) 

หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ

WHA +5.2%,  AMATA  +8.33% 

กลุ่มนิคมมีจิตวิทยาบวกหนุนจากข่าว 1.) การเลือกตั้งสหรัฐ 5 พ.ย. ตลาดคาดไม่ว่าใครจะเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ คาดกระสการกีดกันการค้ายังมีอยู่ หนุนกระแสการย้ายฐานการผลิตมาไทย บวกต่อกลุ่มนิคม   2.)ยอดตัวเลขคำขอรับการส่งเสริมลงทุน 9M24 อยู่ที่ 2,195 โครงการ มูลค่า 7.22 แสนล้านบาท (เติบโต 42%y-y และเป็นระดับสูงสุงในรอบ 10ปี  3.)  AMATA  KSS ประเมินยอดขายที่ดิน 3Q24 อยู่ที่ 957 ไร่ สูงสุดนับตั้งแต่ไตรมาส 1 ปี 2556 ส่งผลให้ยอดขายที่ดินใน 9 เดือนแรกของปี 2567 อยู่ที่ 2,018 ไร่ เพิ่มขึ้น 68% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และสูงกว่าที่คาดไว้ทั้งปีของเรา   ยังคงคำแนะนำซื้อสำหรับการลงทุนระยะกลาง – ยาว 

TOP – 4.3%, BSRC -6.6%

ราคาหุ้น TOP ปรับลง มาจากประเด็นเฉพาะตัวปัญหา sub-contractor ไม่ได้รับชำระเงินค่าก่อสร้างจากผู้รับเหมาฯหลัก (turnkey EPC) รวมถึงกระแสข่าวผู้รับเหมาฯหลักถอนตัว ส่งให้ตลาดกังวลผลกระทบต่อการ COD โครงการ CFP (บทวิเคราะห์ 17 ต.ค. 2024 เราประเมินสุดท้าย TOP จะไม่ปล่อยให้โครงการได้รับผลกระทบรุนแรง ผ่านการจ่ายค่าแรงส่วนเพิ่ม 2-5 พันลบ. กระทบ TP1-2 บาท)     BSRC แนวโน้มขาดทุน -1.9 พันลบ. ใน 3Q24F ที่ถูกฉุดจาก stock loss ก้อนใหญ่ และส่งให้ 2H24F เผชิญขาดทุน และ 2024F กำไรลดลงมาก y-y ส่งให้ตลาดกังวล synergy value     ซึ่งการปรับตัวลงของทั้ง 2 หุ้น อาจกดดันไปที่ SPRC และ BCP ที่ 3Q24F มีแรงฉุด stock loss เช่นกัน   KSS มองการปรับตัวลงของ SPRC และ BCP เป็นโอกาสซื้อรับการฟื้นตัวใน 4Q24F ที่ไม่มี stock loss ก้อนใหญ่ และค่าการกลั่นฟื้นจากแรงหนุน winter season และ supply ที่ตึงตัวขึ้น ล่าสุด SG GRM ขึ้นมายืนเหนือ 4 $/bbl และ ต.ค. 24 (MTD) +38% m-m

SAWAD +3.55% 

ปรับขึ้นจาดมุมมอง slightly positive ต่อผลประกอบการ  3Q24F  จากคาดขาดทุนรถยึดลดลง q-q สำหรับกำไรสุทธิ 3Q24F คาดที่ 1,280 ลบ. ลดลง -8%  y-y เพิ่มขึ้น +1% q-q ตามทิศทางของค่าใช้จ่ายสำรอง (ECL) ทั้งนี้เราปรับกำไรสุทธิ  2025-26F ขึ้นปีละ  +(6-10)% เพราะ i) มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของทางภาครัฐ คาดช่วยลดปัญหาการตกชั้นของลูกหนี้  ii) ทิศทางดอกเบี้ยนโยบายขาลง ส่งผลต่อ TP25F ปรับขึ้นเป็น 42 บ. และปรับคำแนะนำขึ้นเป็น NEUTRAL

MASTER +3.2% 

ราคาหุ้นปรับขึ้น มีจิตวิทยาบวกหนุนจาก บริษัทเปิดเผยต่อสื่อ การย้ายหลักทรัพย์เข้าซื้อขายใน SET จาก MAI เริ่ม 28 ต.ค.2024

GULF -1.13%   GPSC -0.57% 

หุ้นกลุ่มโรงไฟฟ้าปรับลงต่อ แต่เริ่มสร้างฐานได้  แรงกดดันยังมาจาก 1.) ก๊าซธรรมชาติ NYMEX ในสหรัฐ +7.69%d-d ปิดที่ USD2.522/MMBtu ระยะสั้นปรับขึ้นต่อเนื่องและทำจุดสูงสุดในรอบ 1 สัปดาห์   อย่างไรก็ตามมองมีสัญญาณการฟื้นตัวจาก US Bond Yield ซึ่งเป็นอีกปัจจัยที่กดดันราคาหุ้น  เริ่มคลายลงต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์หน้าที่จะมีการรายงานตัวเลขภาคจ้างงานปลายสัปดาห์ ซึ่งมีแนวโน้มอ่อนตัวลงตามผลกระทบพายุ โดยกลุ่มที่ได้ประโยชน์ Bond Yield อ่อนลงเชิงกลยุทธ์เรามองหุ้นโรงไฟฟ้ามีโอกาสฟื้นตัวเด่นช่วงสัปดาห์หน้า แนะนำทยอยสะสม เน้น GULF (TP Max Con-68) GPSC (TP Max Con-54)

 

- Advertisement -