Daily Focus: เน้น Earnings Play เก็งงบ 3Q24

2024 SET Target: 1470

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ยังคงแกว่งตัว Sideways ตามคาด โดยระหว่างวันมีจังหวะปรับตัวบวกได้ดีพอสมควร ก่อนมีแรงขายกดดันทำให้ดัชนีย้อนลงมาปิดลบเล็กน้อย 1.87 จุด ที่ระดับ 1,451.16 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางลงเหลือ 4.1 หมื่นลบ. ภาพรวมตลาดยังขาดปัจจัยหนุนใหม่และรอติดตามกำไรบจ. 3Q24 สถาบันในประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้นต่อเนื่องอีก 569 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิเร่งขึ้นเป็น 1.7 พันลบ. (แต่พลิกมา Long Index Futures 9.4 พันสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะยังคงเคลื่อนไหวในกรอบหลัก 1,440-1,470 จุดระยะนี้ โดยรอติดตามทั้งผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า รวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญหลายรายการในสัปดาห์นี้ ล่าสุดตลาดเริ่มปรับเพิ่มโอกาส FED ในการลดดอกเบี้ยลง หลังตัวเลข JOLTs Job Openinas ที่ต่ำกว่าคาดที่ 7.443 ล้านตำแหน่ง (ตลาดคาด 7.99 ล้าน) ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP และการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน ก.ย. ที่จะประกาศวันพุธและศุกร์นี้ ตามลำดับ ตลาดคาดว่าจะชะลอตัวลงค่อนข้างแรงเช่นกันเหลือ 1.15 แสนตำแหน่ง นอกจากนี้คืนนี้ยังมีการรายงานตัวเลข GDP 3Q24 ของทั้งสหรัฐฯและยูโรโซน ซึ่งจะมีผลต่อการประเมินความเร็วที่ FED จะทยอยลดลดอกเบี้ยในอนาคตเช่นกัน ส่วนปัจจัยในประเทศโฟกัสหลักยังคงอยู่ที่การติดตามการประกาศกำไรบจ. 3Q24 ซึ่งภาพรวมคาดว่าจะหดตัวทั้ง q-q และ y-y ถ่วงจากกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีเป็นหลัก หากไม่รวมกลุ่มดังกล่าว คาดกำไรทรงตัว q-q และยังโตได้ดี y-y โดยหากออกมาไม่ต่ำกว่าคาดและไม่สร้าง Downside ต่อ EPS ของ SET ปี 2024-25 อย่างมีนัยยะ เรายังเชื่อว่าดัชนีจะสร้างฐานได้บริเวณ 1,440+- จุด และทยอยฟื้นตัวได้ในระยะถัดไป โดยมอง SET Target เบื้องต้นในปี 2025 ที่ 1,600 จุด เรายังมองเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Domestic Play โดยเฉพาะภาคการบริโภค ได้แก่ ไฟแนนซ์ ค้าปลีก อาหารเครื่องดื่ม เป็นต้น ซึ่งจะได้อานิสงส์จากทั้งดอกเบี้ยที่ขยับลง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากครม. ขณะที่ Downside ยังคงถูกจำกัดจากเม็ดเงินลงทุนของกองทุนวายุภักษ์

กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่คาดแนวโน้มกำไร 3Q24 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนต่อเนื่องระยะกลาง-ยาว

หุ้นเด่นเดือน ต.ค. : AOT, BCH, CBG, CPN, KCG

FSSIA Portfolio: AOT, CHG, CALL, CPN, KCG, KTB, MTC, NSL, SFLEX, SHR, TU

หุ้นเด่น Finansia 30 ต.ค. 24 : CHG

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2025 ที่ 3.80 บาท
  • เราคาดกำไรสุทธิ 3Q24 ที่ 402 ลบ. +109% q-q, +23% y-y ทำ Record High หากไม่รวมช่วงโควิดที่มีกำไรสูงผิดปกติ หนุนจากทั้งรายได้เงินสดและประกันสังคมที่เติบโต Double Digit และมีการบันทึกรายได้โรคเรื้อรังเพิ่มเติมอีก 90 ลบ.หลังบันทึกไว้ต่ำเกินไปในปี 2023 
  • ด้านรพ.แม่สอดคาดมีผลขาดทุนใน 3Q24 น้อยลงต่ำสุดตั้งแต่เปิดให้บริการ ส่วนประเด็น RW>2 ของประกันสังคมยังไม่มีข้อสรุป แต่ล่าสุดมีข่าวยืนยันจากสปส.ว่าจะจ่ายได้ 1.2 หมื่นบาท/RW ในปี 2025 คาดว่าเพียงพอที่จะช่วยจำกัด Downside ได้
  • แนวรับ 2.76//2.70 บาท แนวต้าน 2.90-3 บาท

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนโดยรวมพลิกมาไหลออกจากภูมิภาคสุทธิหนาแน่นถึง US$1,268 ล้าน นำโดยไต้หวัน US$873 ล้าน ถูกกระทบจากนโยบายควบคุมการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีในจีน รองลงมาคือเวียดนามและเกาหลีใต้ US$203 ล้านและ US$93 ล้าน ตามลำดับ ส่วนอาเซียนอื่นๆไหลออกทั้งไทย อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์ ประเทศละ US$16-51 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังผสมผสานรอจับตาผลการเลือกตั้งสหรัฐฯและตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญหลายตัวในสัปดาห์นี้

ประเด็นสำคัญวันนี้

(+) กลุ่มธนาคาร เรามีมุมมองเป็นบวกเกี่ยวกับการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของไทยในปี 2025-26 โดยเฉพาะในด้านการลงทุนในโครงการขนาดใหญ่ที่กำลังจะมาถึง ซึ่งน่าจะส่งสัญญาณความต้องการสินเชื่อบรรษัทของธนาคารต่างๆ ด้านคุณภาพสินทรัพย์อ่อนตัวลงต่อเนื่องแต่ยังอยู่ในระดับที่จัดการได้และมีความกังวลที่ลดลง คงให้น้ำหนักเท่ากับตลาด โดยยังเลือก KTB ราคาเป้าหมาย 23.50 บาท และ BBL ราคาเป้าหมาย 184 บาท เป็นหุ้นเด่น นอกจากนี้เรายังแนะนำา ซื้อ KBANK ราคาเป้าหมาย 192 บาท และ TTB ราคาเป้าหมาย 2.52 บาท

(-) GPSC คาดกำไรสุทธิ 3Q24 น่าจะอยู่ที่ 800-850 ล้านบาท ลดลงจาก 1.43 พันลบ. ใน 2Q24 และ 1.79 พันลบ. ใน 3Q23 จาก margin ของโรงไฟฟ้า SPP แคบลงเพราะต้นทุนราคาก๊าซฯ ที่ปรับ 10% q-q, +3.5% y-y ขณะที่ค่าไฟฟ้าเท่าเดิม และมีผลุขาดทุนจาก FX ที่ไม่เกิดขึ้นจริงค่อนข้างมาก จาก mismatch ระหว่างค่าเงินดอลลาร์ไต้หวันที่แข็งค่าน้อยกว่าค่าเงินบาทที่แข็งค่า ซึ่งมากกว่าตลาดคาด อย่างไรก็ตาม คาดผลขาดทุนจาก FX น่าจะกลับมาลดลงหรือกลับมาเป็นบวกใน 4Q24 ขณะที่ Margin น่าจะทรงตัว q-q และรายได้จากต่างประเทศจะดีขึ้น ทำให้โดยรวมใน 4Q24 น่าจะเห็นการฟื้นตัว และปีหน้ากำไรจะเพิ่มขึ้นจากกำลังผลิตใหม่ใน อินดีย และโรงไฟฟ้า IPP กลับมามีกำไรเป็นปกติ รอประกาศงบ 3Q24 วันที่ 7 พ.ย. นี้

(+) SJWD คาดกำไรปกติ 3Q24 ที่ 230 ลบ. +29% q-q แต่ -9% y-y เพราะรายได้กลุ่ม auto ยังสู้ปีก่อนไม่ได้ ภาพรวมรายได้น่าจะฟื้น +8% q-q การขึ้นกำแพงภาษีสหรัฐ-จีน ทำให้ธุรกิจคลังสินค้าอันตรายและ freight ดีขึ้น ห้องเย็นกลับมาดีมาก + รวมธุรกิจ SCG Vietnam เข้ามาเต็มไตรมาส + บ.ร่วมในกัมพูชามีกำไรจากการขายที่ดิน แนวโน้ม 4Q24 เป็น high season ของหลายธุรกิจ โดยเฉพาะ auto ที่จะเริมมีงาน Motor Expo คงประมาณการและราคิหามาย 19.50 บาท ยังคงแนะนำ “ซื้อ”

(0) KCE การเข้าซื้อ International Circuits Limited (ICL) จะสร้างกำไรส่วนเพิ่ม 110 ลบ. คิดเป็น 5.5% ของกำไร KCE แม้ ICL จะมีกำไร 10 ลบ. แต่ก่อนที่ดีล KCE เข้าซื้อ ICL จะแล้วเสร็จ มีเงื่อนไขว่า ICL จะทำการเข้าซื้อ distributor อีกรายหนึ่งใน UK ก่อนซื้อ Thomcombe Street LLP ซึ่งปี 2023 มีกำไรรวมกันที่ 3.3 ล้านปอนด์ และคาดปี 2024 จะมีกำไรรวมกัน 2.5 ล้านปอนด์ หรือ 110 ลบ. คิดเป็น Net margin 7-8% และจะคิดเป็น 5.5% ของกำไร KCE โดยทั้ง 2 รายเป็น Distributor ของ KCE ทั้งคู่อยู่แล้ว (90% ขายสินค้าของ KCE) ดังนั้นดีลนี้อาจไม่ได้สร้างรายได้ส่วนเพิ่มให้ KCE แต่จะสร้างกำไรส่วนเพิ่มได้ราว 5.5% คาดดีลนี้จะแล้วเสร็จในสิ้นปี 2024 ดังนั้นมูลค่าเข้าซื้อที่ 1 พันลบ. จะคิดเป็น PE เพียง 9 เท่าและคิดเป็น EV/EBITDA เพียง 7 เท่า (ข้อมูลจาก KCE) ถือว่าไม่แพง วัตถุประสงค์เข้าซื้อคือ KCE ต้องการดูแลลูกค้า และการขายเอง โดยลดในส่วนตัวกลางอย่าง Distributor ออกไป หลังดีลนี้ KCE จะเหลือรายได้ที่ขาย ผ่าน distributor อีก 28% ของรายได้รวม มีโอกาสที่จะเข้าซื่อ distributor ที่เหลืออีกในระยะถัดไป เรามีมุมมองเป็นกลางจากดีลนี้ ถือเป็นมูลค่าเข้าซื้อที่ไม่แพง แต่อาจไม่ได้สร้างกำไรส่วนเพิ่มได้อย่างมีนัยสำคัญในทันที

(+) FSSIA Portfolio Update เราถอด GPSC ออก และเพิ่ม SFLEX เข้า ทำให้ล่าสุดหุ้นใน Portfolio ประกอบด้วย AOT, CHG, CPALL, CPN, KCG, KTB, MTC, NSL, SFLEX, SHR, และ TU

(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 154.52 จุด หรือ -0.36% ปิดที่ 42,233.05 จุด โดยตลาดถูกกดดันจากการพุ่งขึ้นของอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ แต่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และดัชนี S&P500 ปิดในแดนบวก ก่อนที่บริษัทอัลฟาเบท (Alphabet) จะรายงานผลประกอบการ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ซึ่งรวมถึงตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรและดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล (PCE) เพื่อประเมินทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)

(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ โดยถูกกดดันจากการเปิดเผยผลประกอบการรายไตรมาสที่ต่ำกว่าคาดจากบริษัทอุตสาหกรรมชั้นนำ อาทิ บีพี, โนวาร์ดิส และซันตันเดร์ ขณะที่การซื้อขายเป็นไปอย่างระมัดระวังก่อนการเปิดเผยข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญในสัปดาห์นี้

(0) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดผสม โดยภายในภูมิมีประเด็นให้จับตา อาทิ CPI ออสเตรเลียเดือน ก.ย. ซึ่งตลาดคาดที่ 2.9% y-y ชะลอลงจากเดือนก่อนหน้า

(+) ค่าเงินบาท แข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 33.68 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -0.33%

(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 17 เซนต์ หรือ 0.3% ปิดที่ 67.21 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากมีรายงานว่าเบนจามิน เนทันยาฮู นายกรัฐมนตรีอิสราเอลจะจัดการประชุมเกี่ยวกับการใช้ช่องทางการทูตเพื่อหาทางออกให้กับสงครามในเลบานอน ซึ่งข่าวดังกล่าวบ่งชี้ว่าสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลางมีแนวโน้มคลี่คลายลง ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 67.36 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.22%

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 25.20 ดอลลาร์ หรือ 0.91% ปิดที่ 2,781.10ดอลลาร์/ออนซ์ โดยปัจจัยหนุนจากแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และสถานการณ์ตึงเครียดในตะวันออกกลาง นอกจากนี้ ราคาทองคำยังได้ปัจจัยบวกจากการคาดการณ์ที่ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) จะเดินหน้าปรับลดอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือนพ.ย. ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 2,790.70 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.35%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 889.78/ -0.20%

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

30 ต.ค.สหรัฐ: GDP growth rate q-q Adv (Q3)

ยูโรโซน: GDP growth rate (Q3)

31 ต.ค.สหรัฐ: Core PCE Price Index (ก.ย.)

ญี่ปุ่น: ประชุม BoJ

จีน: NBS Manufacturing PMI (ต.ค.)

ยูโรโซน: Inflation Rate (ต.ค.)

1 พ.ย.สหรัฐ: Non-Farm Payroll, Unemployment rate (ต.ค.)

จีน: Caixin Manufacturing PMI

4 พ.ย.สหรัฐ: ISM Services PMI (ต.ค.)

ออสเตรเลีย: ประชุมธนาคารกลาง

- Advertisement -