Daily Focus: จับตายืนกรอบแนวรับ 1,440+- จุด ได้หรือไม่

2024 SET Target: 1470

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ยังคงมีแรงขายกดดันอย่างต่อเนื่อง โดยปิดลบอีก 3.96 จุด ที่ระดับ 1,447.20 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่เบาบางลงเหลือ 4 หมื่นลบ. โดยตลาดอยู่ในช่วงปรับพอร์ตรอดูผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ สัปดาห์หน้า มีเพียง ADVANC DELTA GULF INTUCH TRUE ที่ประคองตลาด สถาบันในประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้นอีกเล็กน้อย 268 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิสูงถึง 4.3 พันลบ. (และ Short Index Futures อีกถึง 1.6 หมื่นสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index มีแนวโน้มแกว่ง Sideways to Sideways Down โดยมีโอกาสอ่อนตัวลงทดสอบบริเวณกรอบล่าง 1,440+- จุด ถ่วงจากบรรยากาศการลงทุนที่ค่อนไปในทางลบ แม้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังแข็งแกร่งทั้ง GDP 3Q24 ที่ +2.8%q-q SAAR และการจ้างงานภาคเอกชนเดือน ก.ย. ที่สูงกว่าคาดมากเป็น 2.33 แสนตำแหน่ง ส่งผลให้ US Bond Yield ขยับตัวขึ้นโดยอายุ 10 ปี อยู่ที่ 4.29% เป็นปัจจัยกดดันสินทรัพย์เสี่ยงระยะสั้น นอกจากนี้ตลาดรอติดตามผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ในสัปดาห์หน้า ซึ่งทำให้มีการปรับทยอยพอร์ต โดยเฉพาะแรงขายในฝั่งเอเชียเพื่อลดความเสี่ยงระยะสั้น ส่วนตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญวันนี้ติดตามตัวเลข PMI เดือน ต.ค. ของ จีน และเงินเฟ้อ PCE เดือน ก.ย. ของสหรัฐฯ ส่วนปัจจัยในประเทศโฟกัสหลักยังคงอยู่ที่การติดตามการประกาศกำไรบจ. 3Q24 ซึ่งภาพรวมคาดว่าจะหดตัวทั้ง q-q และ y-y ถ่วงจากกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีเป็นหลัก แต่หากไม่รวมกลุ่มดังกล่าว คาดกำไรทรงตัว q-q และยังโตได้ดี y-y ซึ่งหากออกมาไม่ต่ำกว่าคาด และไม่สร้าง Downside ต่อ EPS ของ SET ปี 2024-25 อย่างมีนัยยะ เรายังเชื่อว่าดัชนีจะสร้างฐานได้บริเวณ 1,440+- จุด และทยอยสร้างฐานรวมถึงฟื้นตัวได้ในระยะถัดไป โดยเราปรับใช้ SET Target ปี 2025 ที่ 1,600 จุด เรายังมองเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่ม Domestic Play โดยเฉพาะภาคการบริโภค ได้แก่ ไฟแนนซ์ ค้าปลีก อาหารเครื่องดื่ม เป็นต้น ซึ่งจะได้อานิสงส์จากทั้งดอกเบี้ยที่ขยับลงและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากครม. ขณะที่ Downside คาดยังคงถูกจำกัดจากเม็ดเงินลงทุนของกองทุนวายุภักษ์

กลยุทธ์ : เลือกหุ้นที่คาดแนวโน้มกำไร 3Q24 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนต่อเนื่องระยะกลาง-ยาว

หุ้นเด่นเดือน ต.ค. : AOT, BCH, CBG, CPN, KCG

FSSIA Portfolio: AOT, CHG, CALL, CPN, KCG, KTB, MTC, NSL, SFLEX, SHR, TU

หุ้นเด่น Finansia 31 ต.ค. 24 : VIH

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2025 ที่ 15 บาท
  • เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตระยะยาว โดยแผนการเปิดโรงพยาบาลใหม่ปลาย 2026 ที่จะเป็น tertiary care เราคิดว่าจะเป็นการ unlock VIH กลายเป็นโรงพยาบาล chain ที่ดีขึ้นขจากปัจจุบันที่มี 4 โรง 483 เตียง และมี upside จากเรื่องปรับราคาค่าบริการขึ้น 3-7% ในช่วงต.ค. (ไม่ได้ปรับมา 2 ปี)
  • เราคาด EPS ปี 2024-25 เติบโต +9% y-y และ +14% y-y ตามลำดับ ด้านฐานะการเงินมีสถานะเป็น net cash จึงมีโอกาสที่จะทำ M&A เพื่อเพิ่มกำไรมา offset กับ loss ของรพ.ใหม่ในช่วงแรก ด้าน Valuation ปัจจุบันเทรด PER เพียง 16.7 เท่า เป็นหนึ่งในรพ.ที่ถูกที่สุดในตลาด
  • แนวรับ 10//9.80 บาท แนวต้าน 10.50//10.90-11 บาท 

Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาคสุทธิต่อเนื่องอีก US$632 ล้าน นำโดยเกาหลีใต้ US$292 ล้าน ขณะที่ไต้หวันไหลออกบางลงเหลือ US$106 ล้าน หลังถูกขายหนักในวันก่อนหน้า ส่วนฝั่งอาเซียนเม็ดเงินไหลออกเร่งขึ้นอย่างมีนัยยะ นำโดยไทยและอินโดนีเซียประเทศละ US$91-127 ล้าน ส่วนฟิลิปปินส์และเวียดนามไหลออกบางๆ แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังค่อนไปในทิศทางไหลออก โดยตลาดอยู่ในช่วงปรับพอร์ตรอดูผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ ขณะที่ตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนออกมาสูงกว่าคาดมาก

ประเด็นสำคัญวันนี้

(+) Rollover SET Target เป็น 1,600 สำหรับปี 2025 ระยะสั้นเราคาดดัชนีอยู่ในช่วงพักตัวลดความร้อนแรงในช่วงก่อนหน้า และอยู่ระหว่างรอปัจจัยสำคัญทั้งผลการเลือกตั้งสหรัฐฯ และการประกาศกำไรบจ. 3Q24 ซึ่งหากภาพรวม EPS ของ SET ไม่มี Downside อย่างมีนัยยะ เราเชื่อว่าดัชนีจะเริ่มสร้างฐานได้บริเวณ 1,400-1,440 จุด โดยยังคงมุมมองเชิงบวกระยะกลาง-ยาวต่อภาพรวมการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย ขณะที่เศรษฐกิจโลกยังเป็นบวกและไม่น่าเกิด Recession โดยคาด EPS ปี 2025 ที่ 100.5 บาท +12% y-y ระดับดัชนีปัจจุบันยังน่าสนใจทั้งในเชิง PER ที่ไม่แพงเพียง 14.5 เท่าและ EY gap ที่กว้างถึง 4.3%

(-) SCC กำไรสุทธิ 3Q24 ที่ 721 ลบ. -81% q-q, -70% y-y เป็นการลดลงของทุกธุรกิจ มี stock loss และถูกกระทบจากบาทแข็ง ธุรกิจเคมีคอลส์นอกจากมี stock loss แล้ว Spread ของ product ยังลดต่ำลงมากจากจีนที่ยังไม่ฟื้น และมี supply ใหม่เข้าสู่ตลาด แนวโน้ม 4Q24 ฟื้นตัวอ่อนๆ เพราะจะได้เงินปันผลรับ และมี demand ซ่อมแซมบ้านเรือน แต่ต้องติดตามโครงการ LSP เวียดนามที่เริ่มเปิดปลาย ก.ย จะมีค่าเสื่อมและดอกเบี้ยเพิ่มขึ้น การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีนเป็นตัวแปรสำคัญของธุรกิจเคมีคอลส์ ถือว่าเป็นความท้าทายอย่างมาก

(+) SFLEX คาดกำไรปกติ 3Q24 ทำสถิติใหม่สูงสุดต่อเนื่องที่ 74 ล้านบาท +14% q-q +53% y-y ตามการเติบโตต่อเนื่องของการจับจ่ายใช้สอยในประเทศ รวมถึงการทยอยปรับราคาขายให้เหมาะกับต้นทุนมาตั้งแต่ไตรมาสก่อน แนวโน้มข้างหน้ายังคงสดใส Demand ของ Flexible packaging ที่ยังเติบโตสูงทั้งในไทยและเวียดนาม คงประมาณการกำไรปี 2025 +8% y-y ราคาเป้าหมายปีหน้า 5.10 บาท ยังแนะนำ “ซื้อ”

(0) BCH คาดกำไร 3Q24 ที่ 440 ลบ. flat y-y โดยมีปัจจัยกดดันจากรายได้ IPD ที่ลดลง y-y จากผู้ป่วยชาวคูเวตที่หายไป ส่วนรายได้ OPD และ SSO น่าจะยังโตได้ในระดับ double digit ภาพรวมกำไรทั้งปีอาจจะต่ำกว่าประมาณการเดิมของเราที่ 1.6 พันลบ. อย่างไรก็ดี คาดว่าช่วง 4Q24 BCH จะยังบันทึก SSO high cost care ที่ 12,000 บาท/RW ใน 4024 เนื่องจากคาดว่า SSO จะการันดีจ่ายให้ที่อัตรานี้ได้ เราอยู่ระหว่างทบทวนประมาณใหม่ ชอล CHG มากกว่า

(+) ASW คาดกำไรปกติ 3Q24 ที่ 466 ล้านบาท +431% y-y จากการโอนต่อเนื่องของคอนโดใหม่ใน 2Q24 แต่ -11% q-q กดดันจาก GPM ลดลง และค่าใช้จ่ายเปิดโครงการใหม่ ปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติเป็นปี 2024-26 เป็น +70%/+5% /+9% ตามลำดับ ปรับไปใช้ราคาเหมาะสมปี 2025 ที่ 10.80 บาท แนวโน้มกำไร 3Q24 ดีกว่ากลุ่มๆที่คาดลดลง y-y บวกกับ Valuation ต่ำ ยังแนะนำ “ซื้อ”

(-) PRM กำไรปกติ 3Q24 ที่เราเคยคาดไว้ 584 ลบ. -9% q-q, +68% y-y น่าจะสูงเกินไป บาทแข็ง มีผลกระทบมากกว่าที่เคยคาด PRM มี 3 ธุรกิจที่รายรับเป็น USD ซึ่งมีสัดส่วนรวมกันเกือบ 60% ของรายได้รวม จึงน่าจะถูกกระทบในแง่การแปลงงบเป็นบาท กำไรปกติน่าจะทำได้ 536 ลบ. -16% q-q, +55% y-y ต่ำกว่าที่คาดก่อนหน้านี้ 8% ทิศทาง 4Q24-2025 ยังสดใส เรือที่รับใหม่ในปีนี้ ทำงานเต็มปีปีหน้า การหยุดซ่อมบำรุงน้อยลง และเล็งซื้อเรือเพิ่ม คงราคาเป้าหมายปีหน้า 10.50 บาท Dividend Yield ราว 5-6% ต่อปี ยังแนะนำ “ซื้อ”

(+) FSSIA Portfolio Update เราถอด GPSC ออก และเพิ่ม SFLEX เข้า ทำให้ล่าสุดหุ้นใน Portfolio ประกอบด้วย AOT, CHG, CPALL, CPN, KCG, KTB, MTC, NSL, SFLEX, SHR, และ TU

(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 91.51 จุด หรือ -0.22% ปิดที่ 42,141.54 จุด ส่วนดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดในแดนลบเช่นกัน โดยตลาดถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นบริษัทผลิตชิป ขณะที่นักลงทุนจับตารายงานผลประกอบการของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ ซึ่งรวมถึงไมโครซอฟท์ (Microsoft) และเมตา แพลตฟอร์มส์ (Meta Platforms)

(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ หลังแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 1 เดือน โดยหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มเหมืองแร่นำตลาดร่วงลง หลังการเปิดเผยผลประกอบการและข้อมูลเศรษฐกิจที่น่าผิดหวัง

(-) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดลบ โดยนักลงทุนจับตาผลการประชุมนโยบายทางการเงินของ BoJ โดยตลาดคาดว่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.25% รวมถึง รายงาน PMI ของจีน

(-) ค่าเงินบาท อ่อนค่า อยู่ที่บริเวณ 33.78 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ +0.31%

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 1.40 ดอลลาร์ หรือ 2.08% ปิดที่ 68.61ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากมีรายงานข่าวว่ากลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส อาจเลื่อนแผนการปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันนอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากสต็อกน้ำมันดิบและน้ำมันเบนซินรายสัปดาห์ของสหรัฐฯ ที่ปรับตัวลงอย่างเหนือความคาดหมาย ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 68.93 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.47%

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 19.70 ดอลลาร์ หรือ 0.71% ปิดที่ 2,800.80 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากความไม่แน่นอนของผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ และสถานการณ์ดึงเครียดด้านภูมิรัฐศาสตร์ยังคงเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ขณะที่นักลงทุนจับตาข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในขณะที่เช้านี้ลบอยู่ที่ระดับ 2,798.10 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.10%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 892.65/ +0.32%

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

31 ต.ค.สหรัฐ: Core PCE Price Index (ก.ย.)

ญี่ปุ่น: ประชุม BoJ

จีน: NBS Manufacturing PMI (n.a.)

ยูโรโซน: Inflation Rate (ต.ค.)

1 พ.ย.สหรัฐ: Non-Farm Payroll, Unemployment rate (ต.ค.)

จีน: Caixin Manufacturing PMI

5 พ.ย.ไทย: เงินเฟ้อ (ต.ค.)

ออสเตรเลีย: ประชุมธนาคารกลาง

สหรัฐ: ISM Services PMI (ต.ค.)

จีน: Caixin Service PMI (ต.ค.)

- Advertisement -