บล.กรุงศรีฯ: 

KSS Strategist Comment : US Election : Donald Trump ค่อนข้างชัดได้รับชัยชนะการเลือกตั้งกลับมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ (ผลการเลือกตั้งยังไม่เป็นทางการ) และจะครองสภาบนและสภาล่างมีโอกาสสูงเป็น(Red wave)  เป็นบวกต่อตลาดหุ้นและการลงทุนในสหรัฐฯ รับนโยบาย  American First 

Facts : ผลการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ  ครั้งที่ 60 ผู้ชนะต้องได้คะแนนเสียงจากคณะผู้เลือกตั้งไม่ต่ำกว่า 270 เสียง จาก 538 เสียง  โดยอิงจากผลสรุปในเว็บ  270 to win เวลา 3.10 น.  Donald Trump  (Republican) ได้   280 เสียง  >  มากกว่า  Kamala Harris (Democrat) ได้ 224 เสียง  

  • สภาบน (Senate)  พรรค Republican ครองเสียงข้างมาก 51 เสียง  >   Democrat 42 เสียง 
  • สภาล่าง (House) ต้องได้ 218 ที่นั่งเพื่อเป็นเสียงข้างมาก  พรรค Republican มีแนวโน้มครองเสียงข้างมาก 199 เสียง  >   Democrat 184    เสียง  

Short term Impacts :  

  • Dollar Index ที่แข็งค่ามาล่วงหน้ามาแตะ 105.3/105.85จุด จะเริ่มถูกขายทำกำไรและอ่อนค่าลง รับการปรับลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งของ FED ภายในปีนี้ 
  • เงินบาทที่อ่อนค่ามาแตะ 34.15/34.4บาทต่อเหรียญฯ จะกลับมาแข็งค่าในเชิงเปรียบเทียบ 
  • Bond Yields 10ปี สหรัฐฯ จะติดแนวต้าน 4.5% แล้วมีแรงซื้อกลับ กด UST ลดระดับลง
  • ตลาดสินทรัพย์เสี่ยง EMs จะสลับกันขึ้น โดยมีกลุ่ม TIPs เด่น จากสัดส่วนรายได้โดยตรงจากจีน+สหรัฐฯ ที่ต่ำกว่า 2-3% ตอบรับ US Rally ในช่วงที่เหลือของปี 

Short term Strategy :

  • ตลาดหุ้นไทยเดือน พ.ย. – ธ.ค. 2024 เดินหน้าแตะเป้าหมาย SET สิ้นปี 2024 ที่ 1540 จุด ได้เป็นอย่างน้อย แนะนำกลุ่มหุ้นได้ประโยชน์จาก 1)  Rate Cut Cycle (กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทแข็งค่า, ต้นทุนทางการเงินลดลง, กลุ่มภาระหนี้สูง) 2) New Government Policy Supports (Digital Wallet, Entertainment Complex และ Infrastructure Technology) 3) The Return of Domestic Long Term Funds เน้นหุ้นเติบโตดี, Valuation อยู่ในโซนลงทุน, Yield สูงกว่าผลตอบแทนขั้นต่ำ 3% รวมถึงกลุ่มที่อยู่ในดัชนี ThaiESG และยังมีน้ำหนักในกองทุนวายุภักษ์เดิมต่ำ 4)     Trade wars mitigation 
  • โดยมีหุ้นเด่น 4Q24F : AOT, GULF, GPSC, MTC, CPALL, BJC, BDMS, KTB , ADVANC, HMPRO   
  • และให้เพิ่มกลุ่มเด่นรับ นโยบาย TRUMP 2.0 ในระยะกลาง กลุ่มนิคม AMATA, WHA  กลุ่มพลังงาน(PTT) ธนาคาร(SCB, KBANK, KTB) และกลุ่ม Domestic Services & Utilities (CPALL, BJC, HMPRO, BDMS, AOT, GULF) 

Mid-Long Term Impacts : ประเมินประธานาธิบดีสหรัฐคนใหม่คือ  Donald  Trump  และครองสภาบนและสภาล่าง  (Red wave) แนวนโยบายของ Trump  คือ  American First อาทิ การลดภาษีนิติบุคคล และการยกระดับมาตรการกีดกันทางการค้า สนับสนุน Crypto currency  ประเมินผลกระทบ 

  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ จะได้อานิสงค์บวก จากนโยบาย American First ประเมิน Dollar Index อ่อนค่าลงช้ากว่าเดิม จากกรอบเป้าหมาย 1ปีข้างหน้า 100-99จุด เป็น 102-100จุด ผสานสมมติฐานหลักความเสี่ยงแรงกดดันต่อเงินเฟ้อที่ลดระดับช้าลง กระทบวงจรดอกเบี้ยขาลงที่น่าจะช้ากว่าที่ตลาดประเมินไว้เดิมปีหน้า -100bps อาจเหลือ -50-75bps 
  • ผลกระทบจากมาตรการกีดกันการค้า จะไม่สูงเท่ารอบปี 2018-19   กรณีที่สงครามการค้า Trade war / Tech war โอกาสที่จะยังดำเนินต่อ ในระยะ 4 ปีข้างหน้า KSS ประเมินผลกระทบที่เกิดขึ้นจะไม่สูงเท่ารอบปี 2018-19  (ช่วงสมัย เฉพาะอย่างยิ่ง จากภาพSupply Chain ของโลกที่มีความเปลี่ยนแปลงไปตั้งแต่ช่วงคุณ Trump ดำรงตำแหน่งสมัยแรก ปี 2018-2019 ทั้งการนำเข้าสินค้าจีนของสหรัฐฯที่ลดลงไปกว่า -8% และสัดส่วนการส่งออกสินค้าจีนไปยังกลุ่มประเทศ Belt and Road (BRI) ที่ปัจจุบันสูง 46% จากต่ำราว 26% ในปี 2006 รวมถึงสัดส่วนการส่งออกจีนไปยังประเทศพัฒนาแล้วที่เหลือ 22% จากปี 2006 ที่ 50% 
  • ตลาดหุ้นกลุ่ม TIPs และไทย จะผันผวนน้อยกว่า เนื่องจาก มีสัดส่วนรายได้โดยตรงจากจีน+สหรัฐฯ ที่ต่ำกว่า 2-3% น้อยกว่า EM อื่นๆ ผสานนโยบายการเมืองระหว่างประเทศเป็นกลาง และตลาดหุ้นยังมี Valuation ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย อีกทั้งยัง Laggard  ภายใต้เศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวเร่งขึ้น 
  • การลงทุนในตราสารหนี้ ในระยะสั้น-กลาง มีจิตวิทยาลบจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับสูงขึ้นจากแรงกดดันเงินเฟ้อจากสงครามการค้า 

Mid-Long term Strategy : เน้นที่ได้ประโยชน์จาก นโยบายของ TRUMP 2.0

1.กลุ่มนิคม AMATA, WHA  

2.กลุ่มพลังงาน PTT, PTTEP

3.ส่งออกอาหาร ได้ประโยชน์จากเงินบาทที่อ่อนค่ากว่าสมมติฐานเดิม และได้ประโยชน์จากการโยก Order เน้น  TU (ได้ประโยชน์จากนโยบายลด Corporate Tax), CPF ยาง เน้น STA, STGT 

4.Domestic อาทิ กลุ่มธนาคาร (SCB, KBANK,KTB)   ค้าปลีก (CPALL, BJC, HMPRO)   สื่อสาร (ADVANC)  Utilities(GULF, GPSC)

- Advertisement -