KS Daily View 08.11.2024 >>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ภาพรวมยังเดินหน้าทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง หลังเฟดปรับลดดอกเบี้ย 25 bps ตามคาด ด้าน SET Index คาดว่าจะมีแรงหนุนในวันนี้ หลังค่าเงินบาทพลิกแข็งค่าราว 1% มองกรอบ 1,450 – 1,480 แนะนำ AMATA, CPAXT

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวผสมผสาน Dow Jones ไม่เปลี่ยนแปลง, S&P 500 +0.74%, Nasdaq Composite +1.51% และ Russell 2000 -0.43% ตลาดได้แรงหนุนจากการที่ธนาคารกลางสหรัฐ (Fed) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 bps มาอยู่ที่ 4.50-4.75% ตามที่ตลาดคาด นอกจากนี้ ตลาดยังได้แรงหนุนจากความคาดหวังว่านโยบายของประธานาธิบดีคนใหม่จะช่วยกระตุ้นกำไรของบริษัทผ่านการลดภาษีและการผ่อนคลายกฎระเบียบ โดยกลุ่มที่ปรับตัวขึ้นได้โดดเด่นเมื่อคืนนี้คือ หุ้น Growth อย่าง Communication Services, Consumer Discretionary และ Technology

ตลาดหุ้นไทย +2.3 จุด ปิดที่ 1,469.72 จุด หลังจากปรับตัวขึ้นในช่วงเช้า แต่มีการลดช่วงบวกลงมา แต่ถือว่าทำได้ดีกว่าตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียใต้ที่ส่วนมากปิดลบ ภาพรวมของตลาดยังได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการปรับตัวขึ้นของ Bond Yield ของสหรัฐฯ มูลค่าการซื้อขายอยู่ที่ 55,622 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,744 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 1,184 ล้านบาท แรงหนุนมาจากกลุ่ม ICT, Electronic, Bank และ Petrochemical ในขณะที่กลุ่ม Healthcare, Finance, Commerce และ Packaging เป็นกลุ่มที่กดดันตลาด อย่างไรก็ตาม เมื่อคืนนี้ค่าเงินบาทพลิกกลับมาแข็งค่าเล็กน้อยจาก 34.4 มาที่ 33.9 บาทต่อดอลลาร์ หลังเฟดมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยและตลาดได้รับข่าวเรื่องทรัมป์ชนะการเลือกตั้งไปพอสมควรแล้ว วันนี้คาดกรอบ SET ที่ 1,450 – 1,480 หุ้นแนะนำเป็น AMATA, CPAXT และติดตามจีนที่อาจเผยมาตรการกระตุ้นในช่วงสายของวันนี้

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

  1. FED ปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 bps สู่ระดับ 4.50-4.75% ตามตลาดคาด โดยเจอโรม พาวเวลล์ ระบุว่าจะใช้แนวทางระมัดระวังเพื่อรักษาเสถียรภาพเศรษฐกิจ ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางจะ จำลองผลกระทบทางเศรษฐกิจจากนโยบายของโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ชนะการเลือกตั้งเมื่อมีรายละเอียดชัดเจน แต่จะไม่คาดเดาล่วงหน้า นโยบายของทรัมป์ เช่น การขึ้นภาษีศุลกากรและจำกัดการอพยพ ทั้งนี้ตลาดยังคาดการณ์ว่าจะมีการลดดอกเบี้ยอีกครั้งในการประชุมเดือนธันวาคม
  2. ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ในสหรัฐฯ เพิ่มขึ้น 3,000 ราย เป็น 221,000 ราย ตามที่ตลาดคาด แต่ค่าเฉลี่ย 4 สัปดาห์ลดลง 9,750 ราย เหลือ 227,250 ราย สะท้อนตลาดแรงงานที่ยังแข็งแกร่ง ส่วนยอดผู้รับสวัสดิการต่อเนื่องพุ่งแตะ 1.89 ล้านราย สูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี
  3. ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) ประกาศลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 bps เหลือ 4.75% โดยเป็นการลดดอกเบี้ยครั้งที่ 2 ของปีนี้แต่เตือนว่าการขาดดุลงบประมาณที่เพิ่มขึ้นจากการใช้จ่ายภาครัฐ อาจทำให้เงินเฟ้อพุ่งขึ้น 0.5% โดยตลาดคาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้งในปี 2568 ท่ามกลางความกังวลเรื่องผลกระทบจากนโยบายการค้าของทรัมป์
  4. กระทรวงการคลังเตรียมทบทวน GDP ปี 2568 ที่คาดไว้ 3% หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้ง โดยคาดว่าจะเห็นผลกระทบจากนโยบายการค้าในไตรมาส 1-2 ปีหน้า ทั้งด้านการส่งออก การลงทุนจากสหรัฐที่อาจลดลง และค่าเงินบาทที่อ่อนค่า อย่างไรก็ตาม ไทยยังมีโอกาสดึงดูดการลงทุนในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีสูงและส่งออกสินค้าเกษตรแปรรูปมากขึ้น เนื่องจากสหรัฐกีดกันสินค้าจากจีน
  5. รัฐบาลประกาศปรับสูตรการผสมไบโอดีเซลในน้ำมันดีเซล โดยจะเริ่มใช้วันที่ 21 พ.ย. 2567 เนื่องจากราคาน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) พุ่งสูงขึ้นมากจนส่งผลให้ราคาไบโอดีเซลสูงถึง 48 บาทต่อลิตร หรือแพงกว่าน้ำมันปกติถึง 2 เท่า โดยกำหนดให้น้ำมันดีเซลหมุนเร็วธรรมดาผสมไบโอดีเซล 5-7% และดีเซล B20 ผสม 19-20% เพื่อช่วยควบคุมราคาน้ำมันไม่ให้กระทบประชาชนมากเกินไป
  6. เซ็นทรัลพัฒนา (CPN) เตรียมลงทุน 2,000 ล้านบาท รีแบรนด์ Market Place 15 สาขาทั่วกรุงเทพฯ และพัทยาในช่วง 5 ปี โดยจะเริ่มจากสาขาแรกคือ Market Place เทพรักษ์ เปิดมกราคม 2568 บนพื้นที่ 5,800 ตร.ม. มีร้านค้า 60 ร้าน พร้อม Urban Fresh Market ขนาด 1,500 ตร.ม. ตั้งเป้าการเติบโตหลังรีแบรนด์ 10-15% รองรับชุมชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ที่มีประชากรกว่า 400,000 คน

หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:

AMATA: ราคาพื้นฐาน 33.50

  • เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ AMATA โดยหลังจากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งจะเร่งให้เกิดการย้ายฐานการผลิตเร็วขึ้นจากนโยบายกำแพงภาษี ขณะที่บริษัทมี Backlog สูงสุดเป็นประวัติการณ์อย่างต่อเนื่องที่ 19.4 พันล้านบาทในไตรมาส 3Q67 เพิ่มขึ้นจาก 16.9 พันล้านบาทในไตรมาส 2Q67 โดย Backlog มีความแข็งแกร่งจากการที่ลูกค้าวางเงินมัดจำสูงถึง 20-30% สำหรับผลประกอบการไตรมาส 3Q67 คาดว่าจะมียอดขายที่ดินเพิ่ม 957 ไร่ ทำให้ยอดขาย 9 เดือนแรกอยู่ที่ 2,018 ไร่ เกินเป้าหมายปี 2567 ที่ 2,000 ไร่แล้ว และคาดว่า 4Q67 จะขายได้อีก 500 ไร่ ส่งผลให้ยอดขายทั้งปีแตะ 2,500 ไร่ซึ่งสูงเป็นประวัติการณ์ จากอุปสงค์ที่สูงจากการย้ายฐานการผลิตของจีนและไต้หวัน ทำให้ AMATA สามารถปรับราคาขายที่ดินขึ้น 10-15% ซึ่งอาจเพิ่มอัตรากำไรขั้นต้นในอนาคต โดยตั้งเป้าขายที่ดินปี 2568 มากกว่า 2,000 ไร่

CPAXT: ราคาพื้นฐาน 38.60

  • เรามีมุมมองเชิงบวกต่องบไตรมาส 3Q67 ที่มีกำไรเป็นไปตามคาด โดยกำไรปกติไม่รวมรายการพิเศษเติบโต 45% เมื่อเทียบกับปีก่อน จากรายได้รวมที่เพิ่มขึ้น 4.4% โดยธุรกิจค้าส่งมียอดขายสาขาเดิม (SSSG) เติบโต 1.5% ส่วนธุรกิจค้าปลีกในไทยและมาเลเซียมียอดขายสาขาเดิมเติบโต 2.4% และ 4.8% ตามลำดับ นอกจากนี้ อัตรากำไรขั้นต้นปรับตัวดีขึ้นจากการปรับสัดส่วนสินค้าให้เน้นขายสินค้าที่มีกำไรสูงมากขึ้นและการจัดการสินค้าที่ดีขึ้น สำหรับ 4Q67 คาดว่า CPAXT จะได้รับประโยชน์จากช่วงไฮซีซันของการจับจ่ายและการท่องเที่ยว รวมถึงมาตรการเงิน 10,000 บาท เราจึงมอง CPAXT เป็นหุ้นที่แข็งแกร่งและมีแนวโน้มที่ดีทั้งในไตรมาส 4Q67 และปี 2568

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันศุกร์ ติดตามดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภครัฐจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนครั้งแรก (Michigan Consumer Sentiment Prelim) เดือน พ.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 71.0 เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 70.5 จุด
- Advertisement -