KS Daily View 18.11.2024 >>> ลุ้น GDP ไทย 3Q67 คาดที่ +2.5% YoY กรอบ SET วันนี้ 1,430–1,450 แนะนำ TIDLOR, MOSHI
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,442.63 จุด โดยปิดลบรายสัปดาห์ 22 จุด หรือราว 1.5% เป็นทิศทางที่สอดคล้องกับตลาดในภูมิภาค สัปดาห์ที่ผ่านมามีเพียงกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ปิดบวกได้เพียงหนึ่งเดียว โดยในวันศุกร์นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิที่ 970 ล้านบาท อีกทั้งสหรัฐฯ รายงานตัวเลขยอดค้าปลีกเติบโตมากกว่าคาด ทำให้ค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรยังเคลื่อนไหวในระดับสูงอยู่ คาดวันนี้ SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1,430 – 1,450 จุด ติดตามตัวเลข GDP ไตรมาสที่ 3/2567 และผลประกอบการของ AOT ช่วงกลางสัปดาห์
Theme การลงทุนสัปดาห์นี้: คาดตลาดหุ้นไทยสัปดาห์นี้มีแนวโน้มพักตัวในกรอบ 1,430-1,475 จุด ท่ามกลางแรงกดดันจาก Bond Yield สหรัฐฯ ที่ทรงตัวสูงและค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติยังคงเทขายสินทรัพย์เสี่ยงในตลาดเกิดใหม่รวมถึงหุ้นไทย โดยมีปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคือการรายงาน GDP ไทยไตรมาส 3/2567 ในวันจันทร์ที่ตลาดคาดจะโต 2.5% YoY จาก 2.3% ในไตรมาสก่อน หากต่ำกว่าคาดอาจกดดันให้ SET index หลุด 1,440 จุด อย่างไรก็ตามยังมีปัจจัยหนุนจากการประชุม ครม. ในวันอังคารที่คาดจะมีความคืบหน้าโครงการแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจอื่นๆ นอกจากนี้ยังต้องติดตามตัวเลขเงินเฟ้อยุโรปที่คาดจะชะลอตัวลงเป็น 1.7% YoY ซึ่งอาจเพิ่มโอกาสที่ ECB จะลดดอกเบี้ยได้เร็วขึ้น ต่างจากท่าที Fed ที่ส่งสัญญาณไม่เร่งลดดอกเบี้ย ทำให้เงินดอลลาร์มีแนวโน้มแข็งค่าเทียบยูโรและกดดันสินทรัพย์เสี่ยงโดยรวม ดังนั้นเรามองภาพรวมตลาดหุ้นไทยมีความเสี่ยงในด้านลบ สำหรับกลยุทธ์การลงทุนแนะนำเก็งกำไรในหุ้น CPALL MOSHI KTB TIDLOR TASCO ที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ โดยเฉพาะหุ้นที่มี SSSG ฟื้นตัวดี รวมถึงกลุ่มธนาคารและการเงินที่มีคุณภาพสินทรัพย์แข็งแกร่ง และหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐ
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1.รัฐบาลเตรียมเสนอแผนแจกเงิน 10,000 บาท เฟส 2 สำหรับผู้มีอายุ 50 ปีขึ้นไป ในการประชุมคณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจวันที่ 19 พ.ย. นี้ โดยผู้รับต้องเป็นกลุ่มที่ไม่ซ้ำซ้อนกับกลุ่มเปราะบางที่เคยได้รับเงินไปแล้ว และต้องลงทะเบียนรับเงินดิจิทัลผ่านแอพทางรัฐ คาดว่าจะจ่ายเงินช่วงปลายปีนี้หรือต้นปีหน้า ทั้งนี้รัฐบาลได้เตรียมงบประมาณไว้แล้วกว่า 1.8 แสนล้านบาท และคาดว่าจะช่วยให้ GDP ไตรมาส 4 ขยายตัว 4.3-4.4%
2.ประธานาธิบดีสี จิ้นผิงและนายกรัฐมนตรีแพทองธารได้หารือทวิภาคีที่เปรู โดยมุ่งเน้นการเร่งรัดโครงการรถไฟไทย-จีน และขยายความร่วมมือด้านพลังงานใหม่ เศรษฐกิจดิจิทัล และ AI ทั้งสองฝ่ายตกลงที่จะใช้โอกาสครบรอบ 50 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตในปี 2568 เพื่อกระชับความสัมพันธ์ให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น โดยจีนยืนยันสนับสนุนไทยในเวทีระดับภูมิภาคต่างๆ เช่น ความร่วมมือล้านช้าง-แม่โขง อาเซียน และเอเปค
3.นายกรัฐมนตรีแพทองธารเปิดเผยภายหลังการประชุมเอเปคที่เปรูว่า บริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่ 3 ราย ได้แก่ Tiktok, Microsoft และ Google แสดงความสนใจลงทุนเพิ่มในประเทศไทย โดยเฉพาะด้าน AI, Semiconductor และ Data center ซึ่งจะสร้างการจ้างงานรูปแบบใหม่ให้กับคนไทย เป็นส่วนหนึ่งของแผนกระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างรายได้ใหม่ให้ประเทศ พร้อมผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านเกษตรกรรมอัจฉริยะ (Smart farming)
4.ยอดค้าปลีกสหรัฐฯ เดือนตุลาคมเติบโต 0.4% MoM สูงกว่าตลาดคาดที่ 0.3% MoM โดยได้แรงหนุนจากการซื้อรถยนต์และสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงธุรกิจร้านอาหารและเครื่องดื่มที่ขยายตัวต่อเนื่อง แม้ยอดขายเสื้อผ้าและเฟอร์นิเจอร์จะชะลอตัวลง แต่ภาพรวมสะท้อนว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่งในช่วงเริ่มต้นไตรมาสสุดท้ายของปี
5.ประธานเฟดสองท่านออกมาส่งสัญญาณเกี่ยวกับทิศทางดอกเบี้ย โดยออสตัน กูลส์บี ประธานเฟดชิคาโก คาดว่าดอกเบี้ยจะต่ำกว่าปัจจุบันมากในอีก 12-18 เดือนข้างหน้า หากเงินเฟ้ายังลดลงสู่เป้าหมาย 2% ขณะที่ซูซาน คอลลินส์ ประธานเฟดบอสตัน ยืนยันว่าการลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคมยังเป็นไปได้ แต่ทั้งคู่เห็นพ้องว่าควรดำเนินการอย่างระมัดระวังและขึ้นอยู่กับข้อมูลเศรษฐกิจ โดยระบุว่าแม้นโยบายการเงินจะยังอยู่ในระดับที่เข้มงวดและมีที่ว่างสำหรับการลดดอกเบี้ย แต่ควรชะลอการลดลงเนื่องจากความไม่แน่นอนเกี่ยวกับระดับดอกเบี้ยที่เป็นกลาง
6.องค์กรปกป้องสิ่งแวดล้อมทางทะเล Bloom ของฝรั่งเศส และองค์กรสิทธิผู้บริโภค Foodwatch พบปัญหาการปนเปื้อนสารปรอทในทูน่ากระป๋องที่จำหน่ายในยุโรป โดย 57% ของตัวอย่างที่ทดสอบมีปริมาณปรอทเกินมาตรฐาน 0.3 มิลลิกรัมต่อกิโลกรัม ทั้งสององค์กรจึงเรียกร้องให้ยกเลิกการจำหน่ายในกลุ่มเปราะบาง เช่น โรงพยาบาล โรงเรียน และบ้านพักคนชรา พร้อมเสนอให้มีการกำหนดมาตรฐานที่เข้มงวดขึ้น เนื่องจากการสัมผัสสารปรอทแม้เพียงเล็กน้อยอาจส่งผลร้ายแรงต่อสุขภาพ โดยเฉพาะในทารกและเด็ก
หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:
TIDLOR : ราคาพื้นฐาน 22.00
เรามีมุมมองเชิงบวกมากขึ้น หลังบริษัทคาดว่าคุณภาพสินทรัพย์ในไตรมาส 4/2567 จะดีขึ้นทั้งด้านต้นทุนทางเครดิต (Credit cost) และการเกิดหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL formation) หลังจากเร่งจัดการพอร์ตสินเชื่อในช่วงที่ผ่านมา แม้จะแลกมาด้วยการเติบโตของสินเชื่อที่ชะลอตัว โดยคาดว่า TIDLOR จะกลับมามี Loan growth ได้ราว 10-15% ในปีหน้า และหากเศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้นจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนภาครัฐที่เพิ่มขึ้น คาดว่าประสิทธิภาพการเก็บหนี้จะมีโอกาสพัฒนาขึ้น นอกจากนี้การปรับโครงสร้างกลุ่มบริษัทจะช่วยลดผลกระทบจากการจ่ายหุ้นปันผล และเรามองว่า TIDLOR มีมูลค่าที่ยังไม่แพงเกินไป
MOSHI : ราคาพื้นฐาน 55.00
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อเนื่อง โดยคาดว่าการประชุมนักวิเคราะห์สัปดาห์นี้จะมีโทนบวก จากยอดขายสาขาเดิมในไตรมาส 4/2567 ที่คาดว่าจะเติบโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง และคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะดีขึ้นเนื่องจากเข้าสู่ไฮซีซันในไตรมาส 4/2567 และไตรมาส 1/2568 เรามองว่า MOSHI ยังมีโอกาสขยายสาขาได้อีกเท่าตัวเฉพาะในห้างสรรพสินค้า และหากโมเดลร้านค้าแบบสแตนด์อโลนที่ทดลองเปิดประสบความสำเร็จ จะเปิดโอกาสการเติบโตต่อเนื่อง เราคาด MOSHI จะเร่งการเติบโตในปี 2568 ด้วยแผนเปิดสาขาราว 40 สาขา มากกว่าเป้าหมายตอน IPO ที่วางแผนเปิดปีละ 20 สาขา ทั้งนี้เรามีความกังวลลดลงหลังคู่แข่งจากจีนเปิดตัวครั้งแรกในไทย
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันจันทร์ ติดตามรายงาน GDP ในไตรมาสที่สามปี 2024 ของไทยตลาดคาดการณ์ที่ +2.5% YoY เร่งตัวจากไตรมาสก่อนหน้าที่ +2.3% YoY
- วันอังคาร ติดตามการรายงานตัวเลขเงินเฟ้อของสหภาพยุโรปครั้งสุดท้าย (EU CPI) เดือน ต.ค. เทียบกับครั้งก่อนหน้าที่ 2.0% YoY และ เงินเฟ้อที่ไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน (EU Core CPI) เทียบกับครั้งก่อนหน้าที่ 0.3% YoY ต่อด้วยการรายงานจำนวนที่อยู่อาศัยเริ่มสร้าง (Housing Starts) ของสหรัฐฯ เดือน ต.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 1.34 ล้านหลัง ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 1.35 ล้านหลัง ต่อด้วย รายงานใบอนุญาตก่อสร้างบ้าน (Building Permits) ของสหรัฐฯ เดือน ต.ค.ตลาดคาดการณ์ที่ 1.44 ล้านหลัง เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 1.43 ล้านหลัง
- วันพุธ ติดตามการรายงาน Loan prime rate ของธนาคารกลางจีนเดือน ต.ค. ระยะเวลา 1 ปีตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 3.10% ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า และ Loan prime rate อายุ 5 ปีตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 3.60% ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า
- วันพฤหัสฯ ติดตามตัวเลขยอดขายบ้านมือสอง (Existing home sale) เดือน ต.ค. โดยตลาดคาดการณ์ไว้ที่ 3.88 ล้านหลังปรับตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 3.84 ล้านหลัง ต่อด้วยจำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐ (US Initial Jobless Claims) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.17 แสนตำแหน่ง
- วันศุกร์ ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อของญี่ปุ่นเดือน ต.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 2.3% YoY ปรับตัวลดลงจากเดือนก่อนหน้าที่ 2.5% YoY ต่อด้วยรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของโซนยุโรป (HCOB Manufacturing PMI Flash) เดือน พ.ย. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 46.0 จุด ต่อด้วยการรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อของสหรัฐ (S&P Global US Manufacturing PMI Flash) เดือน พ.ย. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 48.50 จุด