Daily Focus: SET ยังยืนเหนือแนวรับ 1,440+- จุด โมเมนตัมยังไม่ลบ
2025 SET Target: 1600
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวพุ่งขึ้นแข็งแกร่งกว่าคาด ปิดบวก 10.15 จุด ที่ระดับ 1,452.78 จุด แต่มูลค่าการซื่อขายที่บางลงเหลือ 3.8 หมื่นลบ. ภาพรวมดัชนียังยืนเหนือแนวรับ 1,440 จุดได้ต่อเนื่อง และมีปัจจัยหนุนจากตัวเลข GDP 3Q24 ของไทยที่สูงกว่าคาด รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่ ทั้งกลุ่มธนาคาร รวมถึง AOT GULF DELTA เป็นต้น ที่ยังปรับตัวขึ้นหนุนตลาด สถาบันในประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 535 ลบ. ส่วนต่างชาติพลิกมาซื้อหนาแน่นพอสมควร 1.7 พันลบ. (สถานะสุทธิใน Index Futures ยังค่อนข้างเบาบาง ต่างชาติ Net Long เล็กน้อย)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่ง Sideways to Sideways Up โดยยังยืนเหนือแนวรับ 1,440+- จุด ได้ต่อเนื่อง รวมถึงบรรยากาศการลงทุนโดยรวมที่ผ่อนคลายขึ้นจาก Dollar Index และ Bond Yield สหรัฐฯเริ่มย่อตัวลง หนุนสกุลเงินเอเชียแข็งค่า อย่างไรก็ตาม ปัจจัยต่างประเทศยังไม่มีประเด็นใหม่ที่ชัดเจน ตลาดรอจับตาการประกาศกำไรของ Nvidia วันพุธนี้ และการดำเนินนโยบายของทรัมป์หลังเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีในปีหน้า ขณะที่ฝั่งนโยบายการเงิน ตลาดยังทยอยปรับลดความคาดต่อการลดดอกเบี้ยของ FED ที่มีแนวโน้มช้ากว่าที่เคยคาด อย่างไรก็ตาม ปัจจัยในประเทศมีสัญญาณบวกจากตัวเลข GDP 3Q24 ที่ดีกว่าคาด และมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่องใน 4Q24 จาก High Season ของการใช้จ่ายและการท่องเที่ยว ส่วนวันนี้ติดตามการประชุมบอร์ดกระตุ้นเศรษฐกิจ นอกเหนือจากการพิจารณาแจกเงินหมื่นเฟส 2 ให้ผู้สูงอายุ ต้องติดตามว่าจะมีมาตรการอื่นเพิ่มเติมด้วยหรือไม่ หนุนการเติบโตของเศรษฐกิจใน 4Q24-2025 ภาพรวมดัชนีระยะสั้นอาจยังอยู่ในช่วงแกว่งตัวสร้างฐาน หลังจากปรับขึ้นแกร่งก่อนหน้า รวมถึงรอติดตามการประชุมนักวิเคราะห์ของบจ.หลังประกาศกำไร 3Q24 แต่เรายังมองบวกระยะกลาง-ยาวจากเศรษฐกิจไทยที่เป็นขาขึ้น รวมถึงโอกาสที่อาจเห็นกนง.ลดดอกเบี้ยเพิ่มเติมในปีหน้า ซึ่งจะเป็น Upside ขณะที่ Downside คาดว่ายังถูกจำกัดจากเม็ดเงินลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ 1
กลยุทธ์ : เน้น Domestic Play ที่มีแนวโน้มกำไร 4Q24-2025 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนระยะกลาง-ยาว
หุ้นเด่นเดือน พ.ย. : MAGURO, MTC, OSP, SFLEX, VIH
FSSIA Portfolio: AOT, CHG, CPALL, CPN, ITC, KCG, KTB, MTC, NSL, SFLEX, SHR
หุ้นเด่น Finansia 19 พ.ย. 24 : BBL
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2025 ที่ 184 บาท
- เราคาดกำไรปี 2024-26 ของ BBL จะเติบโต +4% CAGR โดยมี Upside จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐซึ่งยังไม่รวมในประมาณการ ขณะที่การลงทุนภาครัฐที่เร่งตัว รวมถึงการลงทุนภาคเอกชนที่คาด Turnaround กลับมาเป็นบวกใน 4Q24 เป็นต้นไป เป็นปัจจัยหนุน Loan Growth ให้มีโอกาสเร่งตัวขึ้น
- ด้าน Valuation ยังคงน่าสนใจ เทรด PBV เพียง 0.5 เท่าและให้ Dividend Yield เกือบ 5% ต่อปี ทางเทคนิคกลับมายืนเหนือ 148 บาทได้อีกครั้งเป็น Sentiment เชิงบวก
- แนวรับ 148//145 บาท แนวต้าน 154//157-159 บาท
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนโดยรวมยังคงไหลออกจากภูมิภาค สุทธิแล้วสูงขึ้นเป็น US$480 ล้าน เม็ดเงินไหลออกเกือบทุกประเทศนำโดยไต้หวัน US$329 ล้าน เกาหลีใต้ US$58 ล้าน รวมถึงอาเซียนประเทศละ US$22-62 ล้าน มีเพียงไทยที่เม็ดเงินพลิกมาไหลเข้า US$49 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ามีโอกาสลุ้นพลักมาไหลเข้าหลัง Dollar Index และ Bond Yield เริ่มชะลอตัวระยะสัน หนุนสกุลเอเชียพลิกมาแข็งค่าขึ้นหลังจากอ่อนตัวต่อเนื่องในช่วงก่อนหน้า
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) GDP 3Q24 ไทยดีกว่าตลาดคาด สภาพัฒน์รายงานตัวเลข GDP 3Q24 ไทยเติบโต +1.2% q-q, +3% Y-Y สูงกว่าที่ตลาดคาด เครื่องยนต์ที่เร่งตัวดีที่สุด คือ การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐ การส่งออกทั้งสินค้าและบริการ ขณะที่การบริโภคภาคเอกชนยังเติบโตในเกณฑ์ดีแม้มีอ่อนตัวลงบ้าง ส่วนที่หดตัวมีเพียงการลงทุนภาคเอกชนซึ่งคาดพลิกเป็นบวกในไตรมาส ถัดไป ภาพรวมคาดเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่ม Domestic Play โดยเฉพาะที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคและการลงทุน
(0) KCE ภาพรวมอุตสาหกรรมรถยนต์ปี 2025 ยังดูฟื้นช้า และคาดหวังสดใสขึ้นใน 2026 จึงเลื่อนการ commercial run ของโรงงานใหม่โรจนะออกไปเป็น 2Q26 จากเดิมปลาย 2025-1026 แนวโน้มกำไร 4024 อาจฟื้นตัว ตั้งเป้ารายได้ปี 2025 โตเพียง 0-5% y-y โดยมองโตมากขึ้นใน 2H25 หลังขยายกำลังการผลิตเพิ่ม 30% แล้วเสร็จช่วงกลางปี 2025 โดยรวมกำไรผ่านจุดต่ำสุด มองราคาหุ้นลงมามาก สะท้อนกำไรที่แย่แล้ว แนะนำ ทยอยซื้อ
(0) OSP คาดกำไรปกติ 4Q24 จะฟื้นตัว q-q และกำไรสุทธิจะมีแรงหนุนจากการรับรู้กำไรจากการ์โรงแก้วพม่า ส่วน market share เครื่องดื่มชูกำลังทั้งปี 2024 น่าจะจบที่ 46% ผบห. ตั้งเป้ารายได้ปี 2025 +9% y-y มาจาก existing 5% และมาจาก new product + new market และตั้งเป้าอัตรากำไรขั้นต้นปี 2025 ไม่ต่ำกว่าปี 2024 จากทั้งการพัฒนาสินค้าใหม่ และล่าสุดล็อคราคาวัตถุดิบล่วงหน้า 6 เดือน ครอบคลุม 1H25 โดยรวมไม่ได้หวือหวา แต่คาดเห็นการเติบโตอย่างยั่งยื่น คงเราคาเป้าหมาย 28 บาท แนะนำ “ซื้อ”
(+) MOSHI บริษัทให้วิวแผนการดำเนินงานธุรกิจปี 2025 ที่เน้นการเติบโตจากการยังเดินหน้าขยายสาขา Moshi ต่อเนื่องอีก 40 สาขา นอกจากนี้บริษัทได้ตั้งเป้ารายได้ปี 2025 เติบโต 15-20% Y-Y และคาดหวัง SSSG เติบโต 3-5% Y-Y เทียบกับ 9M24 ติดลบ 0.90% y-y แต่ 4QTD อยู่ที่ 27-28% y-y จากการออกสินค้าใหม่ที่เป็นคอลแลบล์กับแบรนด์ดัง และเป็นช่วง high season คงคาดกำไรสุทธิปี 2024 ของเราที่ 451 ลบ. +12% y-y และปี 2025 +25% y-y คงราคาเป้าหมาย 50 บาท แนะนำ “ถือ”
(0) KCG บริษัทตั้งเป้ารายได้ปี 2025 เติบโต 5-10% y-y ใกล้เคียงกับปี 2024 แม้ปีหน้าอาจยังต้องเผชิญกับต้นทุนวัตถุดิบเนยที่ยังอยู่ในระดับสูงกว่าปี 2024 เล็กน้อย จากภาวะอุปทานตึงตัว แต่ด้วยอัตราการใช้กำลังผลิตที่สูงขึ้นและการออกสินค้าใหม่ ทำให้บริษัทยังสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้นไว้ที่ระดับ 30% ลดลงเล็กน้อยจากปีก่อน แนวโน้มผลประกอบการ 4Q23 จะเติบโตก้าวกระโดด q-q ตาม Festive Season คงคาดกำไรสุทธิปี 2024 +27% Y-Y และปี 2025 +15% y-y และคงราคาเป้าหมาย 13 บาท แนะนำ “ซื้อ”
(0) CKP แนวโน้มกำไรปกติ 4Q24 จะชะลอตัว q-q หลังผ่าน peak ของปริมาณน้ำไหลและปริมาณน้ำในอ่างเก็บน้ำของเขื่อน ทั้งน้ำงึม 2 และไซยะบุรี ส่วนกำไรสุทธิ 4Q24 จะลดลงมาก q-q จากการพลิกกลับเป็น FX loss จากหนี้สกุลเงินดอลลาร์ แนวโน้มปี 2025 key driver จะอยู่ที่ภาระดอกเบียจ่ายที่จะลดลงตามทิศทางดอกเบี้ยขาลง ส่วนด้าน Operation ของโรงไฟฟ้าน่าจะทรงตัว q-ๆ แต่เพิ่มขึ้น Y-y จากปริมาณน้ำในเขื่อนที่สูงกว่าค่าเฉลี่ย คงคาดกำไรสุทธิปี 2024 -17% y-y ราคาเป้าหมาย 4.35 บาท คงคำแนะนำ “ซื่อ”
(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 55.39 จุด หรือ -0.13%, ปิดที่ 43,389.60 จุด ขานรับการคาดการณ์ที่ว่า ผลประกอบการของบริษัทอินวิเดีย (Nvidia) และเทสลา (Tesla) จะออกมาแข็งแกร่ง โดยได้แรงหนุนจากนโยบายที่เอื้อประโยชน์ต่อภาค ธุรกิจของโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลบ โดยถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มอสังหาริมทรัพย์ ขณะที่นักลงทุนประเมินความเห็นของผู้กำหนดนโยบายการเงินของธนาคารกลางยุโรป (ECB) เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยในอนาคต
(+) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวก โดยมีปัจจัยให้จับตาคือการแถลงของการคลังจีนที่ Hong kong Investment Summit
(+) ค่าเงินบาท แข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 34.59 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -0.73%
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 2.14 ดอลลาร์ หรือ 3.2% ปิดที่ 69.16 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังจากมีรายงานว่าการผลิตน้ำมันดิบที่บ่อน้ำมันโยฮัน สเวอร์ด รุป (Johan Sverdrup) ในนอร์เวย์ถูกระงับ นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังได้ปัจจัยบวกจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครนที่มีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น ในขณะที่เช้านี้ลบอยู่ที่ระดับ 69.01 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.22%
(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 44.50 ดอลลาร์ หรือ 1.73% ปิดที่ 2,614.60 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยได้ปัจจัยหนุนจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ และแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางสัญญาณที่บ่งชี้ว่าสงครามระหว่างรัสเซียและ ยูเครนมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น ในขณะที่เช้านี้บวกอยู่ที่ระดับ 2,617.30 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ +0.10% SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 871.65/ +0.20%