AAI โชว์ศักยภาพ ไตรมาส 3/2567 รายได้-กำไรโตพุ่งแรง กำไร 9 เดือน โตทะลุ 283.4%
‘บมจ. เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล หรือ AAI’ ผู้ผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ของไทย ประกาศผลประกอบการโดดเด่นในไตรมาส 3/2567 โดยรายได้เติบโต 37.8% และกำไรสุทธิเพิ่มขึ้นถึง 145% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการที่เพิ่มขึ้นในกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงที่เป็นตัวขับเคลื่อนหลัก งวด 9 เดือนแรกของปีนี้ กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 283.4% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนถึงความสำเร็จจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งของลูกค้าแบรนด์ใหญ่ ซึ่งได้เปิดตัวสินค้าใหม่เอาใจเจ้าของที่มองหาอาหารแบบเฉพาะทาง ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นยังให้อยู่ในเป้าหมายที่วางไว้ 20-21% ทั้งนี้ มั่นใจว่ารายได้รวมปีนี้จะเป็นไปตามเป้าที่ 6,500 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้จากกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง 5,700 ล้านบาท และกลุ่มอาหารพร้อมทานฯ 800 ล้านบาท ส่วนแผนขยายกำลังผลิตยังเป็นไปตามเป้าหมาย โดยในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา เริ่มผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ดภายใต้แบรนด์ “โปร” พร้อมทั้งขยายกำลังการผลิตแบบบรรจุกระป๋องและบรรจุถุงเพาซ์จะช่วยหนุนกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกเพิ่มเป็น 59,000ตัน/ปี ภายในไตรมาส 1 ปีหน้า
นายเอกราช พรรณสังข์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชี่ยน อะไลอันซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ AAI ผู้รับจ้างผลิตอาหารสัตว์เลี้ยง (Pet Food) และผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก (Human Shelf-stable Food) ชั้นนำของไทย และเจ้าของแบรนด์ “monchou” “Hajiko” และ “Pro” ผลิตภัณฑ์อาหารสัตว์เลี้ยงสำหรับแมวและสุนัข เผยผลประกอบการไตรมาส 3/2567 บริษัทฯ มีรายได้ 1,872 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37.8% จากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 1,359 ล้านบาท และเพิ่มขึ้น 9% เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2567 ที่ทำได้ 1,717 ล้านบาท โดยรายได้เพิ่มขึ้นตามปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นทั้งกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงและผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึก
สำหรับกำไรสุทธิ ไตรมาส 3/2567 อยู่ที่ 289 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 145% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 118 ล้านบาท แต่ลดลง 3.5% เมื่อเทียบไตรมาส 2/2567 มีกำไร 300 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นทำได้ 19.1% ดีขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ระดับ 16.1% แต่ลดลงจากไตรมาสที่ผ่านมาที่ระดับ 25.7% ด้านอัตรากำไรสุทธิไตรมาส 3/2567 ทำได้ 15.4% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อนที่ 8.7% และไตรมาสก่อนหน้าที่ 17.5%
ขณะที่ผลประกอบการงวด 9 เดือน บริษัทฯ มีรายได้รวม 5,078 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 28.7% ที่ 3,945 ล้านบาท ซึ่งส่วนใหญ่มาจากปริมาณการขายกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยงที่เพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณการขายกลุ่มอาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึกลดลง และมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 831 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 283.4% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 217 ล้านบาท
ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 21.8% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน 12.7% เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบลดลงจากยอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารพร้อมรับประทานบรรจุภาชนะปิดผนึกลดลงมาอยู่ที่ 13% เทียบจากปีก่อน 20% อีกทั้งค่าจ้างแรงงานและค่าพลังงานก็ลดลงตามยอดขาย ส่วนอัตรากำไรสุทธิงวด 9 เดือน อยู่ที่ 16.4% เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 5.5% จากยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น
“สำหรับ 9 เดือนที่ผ่านมาตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงเติบโตดีโดยเฉพาะตลาดต่างประเทศ เพราะลูกค้าแบรนด์ขนาดใหญ่ต้องการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ตามความต้องการของเจ้าของสัตว์เลี้ยง ซึ่งส่วนใหญ่เป็นสินค้าที่มีความต้องการเฉพาะ (Functional Products) ทั้งส่งเสริมสุขภาพโภชนาการ หรือสินค้ากลุ่มที่ใช้ประกอบการรักษาโรคที่ได้รับความสนใจมากกว่ากลุ่มอื่น ทำให้มีรายการพัฒนาสินค้าใหม่ให้ลูกค้าทั้งสิ้น 52 รายการ แบ่งเป็นอาหารแมว 34 รายการ และอาหารสุนัข 18รายการ ตรงข้ามกับตลาดอาหารสัตว์เลี้ยงในประเทศที่ทรงตัวเพราะมีการแข่งขันที่รุนแรงและผู้บริโภคมองหาสินค้าที่มีความคุ้มค่า ขณะที่ตลาดอาหารพร้อมทานบรรจุภาชนะปิดผนึกยังเป็นตลาดผลิตภัณฑ์ทูน่าที่ได้รับการตอบรับที่ดีจากกลุ่มประเทศตะวันออกกลางโดยเฉพาะประเทศซาอุดีอาระเบีย ส่วนหนึ่งเป็นผลจากที่ราคาทูน่าต่ำลง” นายเอกราชกล่าว
นายเอกราช กล่าวต่อว่า บริษัทฯ ยังคงเป้ารายได้ปี 2567 ที่ 6,500 ล้านบาท หรือเติบโต 19% จากปีก่อนที่ 5,439 ล้านบาท แบ่งเป็น กลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง 5,700 ล้านบาท ถือเป็นการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากช่วง 9 เดือนที่ผ่านมาว่า อุปสงค์ลูกค้าแบรนด์ใหญ่ในตลาดสำคัญยังดีต่อเนื่อง แม้ยอดขายแบรนด์ของกลุ่มบริษัทฯ ทั้งในประเทศไทยและประเทศจีนยังมีความท้าทายสูง ส่วนกลุ่มอาหารพร้อมรับประทานบรรจุภาชนะปิดผนึกคาดว่ารายได้อยู่ที่ 800 ล้านบาท หรือลดลงประมาณ 24% จากปีก่อน โดยยังสามารถเลือกรับคำสั่งซื้อที่ให้อัตรากำไรขั้นต้นดีจากกลุ่มอาหารสัตว์เลี้ยง รวมถึงเป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้นที่น่าจะทำได้ในระดับ 20-21% แม้อัตรากำไรขั้นต้นช่วงไตรมาสที่ 4 จะได้รับแรงกดดันจากค่าเงินเหรียญสหรัฐที่อ่อนค่าเมื่อเทียบกับเงินบาทตั้งแต่ช่วงต้นไตรมาสที่ 3 ที่ผ่านมา ขณะที่คาดว่าราคาทูน่ามีแนวโน้มสูงขึ้นในช่วงปลายปี
ทั้งนี้ กลุ่มบริษัทฯ ยังมีกระแสเงินสดส่วนเกินและมีสภาพคล่องสูงทำให้ต้นทุนทางการเงินอยู่ในระดับต่ำ อีกทั้งบริษัทมีนโยบายมุ่งใช้งบการตลาดเพื่อผลักดันยอดขายเพิ่มขึ้นมากกว่าเพื่อการสร้างการรับรู้ในแบรนด์ ควบคู่กับการเร่งเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายในไทย เพื่อเพิ่มของยอดขายของแบรนด์ให้มีสัดส่วนเป็น 10% ตามแผนกลยุทธ์ในระยะยาวของกลุ่มบริษัทฯ
สำหรับแผนการขยายกำลังการผลิตสามารถดำเนินงานได้ตามแผน โดยตั้งแต่เดือนสิงหาคมที่ผ่านมาบริษัท เอเชี่ยน นิวทริชั่น จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครือ สามารถเริ่มผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเม็ด โดยเริ่มผลิตให้แบรนด์โปรเป็นแบรนด์แรกและอยู่ระหว่างการหาลูกค้าในกลุ่มเจ้าของแบรนด์เพื่อรับจ้างผลิตเพิ่มขึ้น รวมถึงโครงการปรับปรุงอาคารผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงและเพิ่มกำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงบรรจุกระป๋องและบรรจุถุงเพาซ์ที่จะเพิ่มอีก 1,800 ตัน/ปี และ 1,200 ตัน/ปี ตามลำดับ ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตอาหารสัตว์เลี้ยงแบบเปียกเพิ่มเป็น 59,000 ตันต่อปี ภายในไตรมาส 1 ปี 2568 นี้ ยกเว้นโครงการลงทุนก่อสร้างคลังสินค้าอัตโนมัติที่ปรับไปอยู่ในแผนงบประมาณปี 2568 แทน เนื่องจากมีการปรับแบบอาคาร ทำให้งบลงทุนโดยรวมของบริษัทปี 2567 ลดลงมาอยู่ที่ไม่เกิน 250 ล้านบาท จากเดิม 430 ล้านบาท