Daily Focus: ยังแกว่งตัวบริเวณแนวรับ 1,440+- จุด
2025 SET Target: 1600
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวขึ้นในช่วงเปิดตลาดได้ตามตลาดหุ้นภูมิภาค ก่อนจะทยอยอ่อนตัวลงระหว่างวันและปิดลบเล็กน้อย 2.99 จุด ที่ระดับ 1,443.31 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายที่สูงขึ้นเป็นกว่า 5 หมื่นลบ. โดยช่วงท้ายตลาดมีความผันผวนในหุ้นหลายๆ ตัว จากผลของ MSCI Rebalance สถาบันในประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้นอีก 512 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 2.1 พันลบ. (และพลิกมา Short Index Futures 7 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะยังแกว่ง Sideways ในกรอบ 1,436-1,450 จุด แม้จะมีปัจจัยหนุนจาก Dollar Index และ Bond Yield สหรัฐฯ จะย่อตัวลงตอบรับว่าที่รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ ท่านใหม่ ซึ่งตลาดคาดหวังเชิงบวกต่อตลาดทุนอย่างไรก็ตามคาดการฟื้นตัวยังจำกัด โดยค่าเงินบาทล่าสุดกลับมาพลิกอ่อนค่าอีกครั้งที่ระดับ 34.72 บาท/ดอลลาร์ ด้านราคาน้ำมันดิบปรับลงแรงจากความคาดหวังเจรจาหยุดยิงระหว่างอิสราเอลและฮิซบอลเลาะห์ที่มีโอกาสบรรลุมากขึ้น คาดเป็นบวกต่อกลุ่ม Anti-Commodity โดยเฉพาะสายการบิน ส่วนปัจจัยที่ต้องติดตามวันนี้คือตัวเลขส่งออกไทยเดือน ต.ค. คาดยังเห็นการเติบโตที่แข็งแรง y-y ต่อเนื่อง เรามองระยะสั้นตลาดอยู่ระหว่างการทยอยปรับพอร์ตหลังประกาศกำไรบจ. 3Q24 และทยอยมีการประชุมนักวิเคราะห์รับข้อมูลใหม่ อย่างไรก็ตามเราคาดโมเมนตัมกำไรบจ.และเศรษฐกิจไทยจะเร่งตัวอีกครั้งใน 4024 จาก High Season ของการใช้จ่ายและการท่องเที่ยว รวมถึงปี 2025 ที่มองภาคการลงทุนทั้งรัฐและเอกชนจะเป็นหนึ่งในเครื่องยนต์หลักหนุนการเติบโต นอกจากนี้ยังมี Upside หากกนง.ลดดอกเบี้ยเพิ่มเติม ส่วน Downside คาดว่ายังถูกจำกัดจากเม็ดเงินลงทุนของกองทุนวายุภักษ์ 1
กลยุทธ์ : เน้น Domestic Play ที่มีแนวโน้มกำไร 4Q24-2025 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนระยะกลาง-ยาว
หุ้นเด่นเดือน พ.ย. : MAGURO, MTC, OSP, SFLEX, VIH
FSSIA Portfolio: AOT, CHG, CALL, CPN, ITC, KCG, KTB, MTC, NSL, SFLEX, SHR
หุ้นเด่น Finansia 26 พ.ย. 24 : OSP
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 28 บาท
- ส่วนแบ่งการตลาดชูกำลังของ OSP เดือน ต.ค. ในเชิงมูลค่ามูลค่ากลับมาฟื้นเป็น 45% จาก 44.8% ในเดือน ก.ย. โตได้ทั้งช่องทาง traditional และ modern trade ส่วนหนึ่งเพราะน้ำท่วมคลี่คลาย มูลค่าตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในไทยเดือน ต.ค. ยังโตต่อ +4% m-m, +12% y-y โดย OSP สามารถแย่งส่วนแบ่งกลับมาได้เล็กน้อย
- กลยุทธ์จะเน้นออกสินค้าใหม่และสร้างตลาดด้วยสินค้าที่มีราคาสูงกว่า 10-12 บาท ส่วน 10 บาทยังมีขายเป็นทางเลือกให้ลูกค้าและเพื่อรองรับการแข่งขัน มองผ่านจุดต่ำสุดใน 3Q24 ไปแล้ว คาดกำไร 4Q24 จะกลับมาโต q-q และ y-y เราคาดกำไรปี 2025 จะกลับมาโตแรง +74% y-y
- แนวรับ 20.70-20.50//20 บาท แนวต้าน 21.50//22 บาท
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนผสมผสาน สุทธิแล้วไหลมาเข้าภูมิภาค US$102 ล้าน โดยกระจุกที่ไต้หวัน US$211 ล้าน ส่วนเกาหลีใต้ไหลออกบางๆ US$10 ล้าน ด้านอาเซียนเม็ดเงินไหลออกเกือบทุกประเทศ นำโดยไทยและอินโดนีเซียประเทศละ US$36-59 ล้าน มีเพียงเวียดนามที่ไหลเข้าเล็กน้อย แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่ายังผสมผสานแต่มีแนวโน้มไหลเข้าหลัง Bond Yield และ Dollar Index สหรัฐฯที่ยังย่อตัวลงต่อเนื่อง เป็นบวกต่อสินทรัพย์เสี่ยง
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) จับตาส่งออกไทยเดือน ต.ค. ตลาดคาดตัวเลขส่งออก +5.4% y-y เพิ่มขึ้นจาก +1.1%y-y ในเดือนก.ย. 2024 ขณะที่คาดนำเข้า +6.4% y-y ลดลงจาก +9.9% y-y ในเดือนก่อนหน้า เชื่อว่าตัวเลขที่ดีขึ้นส่วนหนึ่งน่าจะมาจากค่าเงินบาทที่กลับมาอ่อนค่า และการเร่งสั่งซื้อ สินค้าก่อนเข้าสู่เทศกาลเฉลิมฉลางปลายปี หากออกมาดีตามคาดจะเป็น Sentiment เชิงบวก ต่อตลาดหุ้นไทย รวมถึงหุ้นในกลุ่มส่งออกด้วย
(-) กลุ่มยานยนต์ ส.อ.ท. ปรับลดเป้าผลิตรถยนต์ปี 2567 เหลือ 1.5 ล้านคัน ลดลง 2 แสนคัน หลังยอดผลิตเดือน ต.ค. 2567 ร่วง -25% เหลือ 1.19 แสนคัน ส่งผลให้ 10 เดือน มียอดผลิตทั้งสิ้น 1.24 ล้านคัน -19% ส่วนยอดขายรถยนต์ในประเทศเดือน ต.ค. 2024 ที่ 3.77 หมื่นคัน – 36% m-m ต่ำสุดในรอบ 54 เดือน จากการเข้มงวดในการให้สินเชื่อ ขณะที่ส่งออกเดือนต.ค. ที่ 8.43 หมื่นคัน +5% m-m แต่ -20% y-y ยอดขายรถยนต์ BEV ลดลงถึง -50% ต่ำสุดในรอบ 4 ปี และยังไม่เห็นสัญญาการฟื้นตัว Underweight
(+) SEAFCO ผู้บริหารมั่นใจได้รับงานฐานรากในโครงการรถไฟฟ้าสายสีส้มตะวันตกจาก CK คาดรับ 4-5 สถานี มูลค่ารวม 1.2-1.3 พันล้านบาท โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างรอเซ็น คาดเริ่มก่อสร้าง 1Q25 เรามองว่ากำไรผ่านจุดต่ำสุดใน 3Q24 ไปแล้ว คาดแนวโน้ม 4Q24 ทยอยดีขึ้น q-q เราคงคาดกำไรปี 2025 +5%y-y จากการรับรู้รถไฟฟ้าสีส้มซึ่งขนาดใหญ่ และเป็นงานรับเฉพาะค่าแรงที่มาร์จิ้นดี ราคาเป้าหมาย 3 บาท แนะนำ “ซื้อ”
(+) TFG ผู้บริหารมองราคาเนื้อสัตว์ปี 2025 โดยรวมยังทรงตัวดี มีเพียงราคาไก่ที่มองราคาย่อลง ตั้งเป้ารายได้รวมปี 2025 +10% y-y จากปริมาณขายที่จะดีขึ้นในไก่ไทยและหมูเวียดนามไฮไลท์ คือ ธุรกิจ Retail shop จะเร่งเปิดสาขาตั้งแต่ 4Q24 เป็นต้นไป โดยสิ้นปี 2024 จะมี 420 สาขา และจะเปิดอีก 180 สาขา เป็น 600 สาขาในปี 2025 เรายังคาดกำไรปี 2025 +5% y-y ส่วนระยะสั้น 4Q24 คาดกำไรจะชะลอตัว q-q อาจอยู่ที่ราว 700-800 ลบ. ราคาเป้าหมาย 4.60 บาท ปัจจุบันเทรดที่ PE เพียง 8 เท่า แนะนำ “ซื้อ”
(+) PJW รายได้ 9M24 +5% y-y แต่กำไรสุทธิ -25% y-y คาดเห็นรายได้กลุ่มบรรจุภัณฑ์ทางการแพทย์ในปี 2025 รวมถึงการขยายตลาดธุรกิจซักอบรีด คาดกำไรปี 2024 -25% และฟื้นแรงในปี 2025 จากฐานต่ำ ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2025 ที่ 3 บาท อิง PE 15 เท่า คาดหวังการฟื้นตัวต่อเนื่องและจาก upside ที่กว้างขึ้น เราเพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ”
(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 440.06 จุด หรือ + 0.99%, ปิดที่ 44,736.57 จุด เนื่องจากตลาดขานรับข่าวโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯเสนอชื่อสก็อตต์ เบสเซนต์ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังคนใหม่ของสหรัฐฯ
(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวกในวันจันทร์ (25 พ.ย.) โดยได้แรงหนุนจากความเชื่อมั่นของนักลงทุนหลังจากการเลือกรัฐมนตรีคลังคนใหม่ของสหรัฐฯ และการแสดงความเห็นจากหัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ของธนาคารกลางยุโรป (ECB) เกี่ยวกับการผ่อนคลายนโยบายการเงิน แต่การปรับตัวขึ้นของตลาดเป็นไปอย่างจำกัด และลดลงจากระดับสูงสุดในรอบ 2 สัปดาห์ โดยถูกกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงานที่ร่วงลง
(-) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดลบ รับข่าวโดนัลด์ ทรัมป์ เสนอชื่อสก็อตต์ เบสเซนต์ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังคนใหม่ของสหรัฐฯ
(-) ค่าเงินบาท อ่อนค่า อยู่ที่บริเวณ 34.63 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ +0.39%
(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 2.30 ดอลลาร์ หรือ 3.23% ปิดที่ 68.94 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังมีรายงานข่าวว่าอิสราเอลและกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ได้บรรลุข้อตกลงหยุดยิง ในขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 68.68 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.38%
(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 93.70 ดอลลาร์ หรือ 3.45% ปิดที่ 2,642.60 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยตลาดถูกกดดันจากการที่นักลงทุนเทขายทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากสื่อรายงานข่าวว่าอิสราเอลบรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ รวมทั้งการที่โดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ เสนอชื่อสก็อตต์ เบสเซนต์ ให้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีคลังคนใหม่ของสหรัฐฯ ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 2,646 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ +0.15%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 879.41 ตัน หรือ + 0.16%
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
26 พ.ย. | ไทย: ส่งออก/นำเข้า (ต.ค.), สหรัฐ: FOMC minutes |
27 พ.ย. | สหรัฐ: PCE price Index (ต.ค.), Durable goods (ต.ค.), 3Q24 GDP growth (2rd) |
28 พ.ย. | เยอรมัน: เงินเฟ้อ (ต.ค.) |
29 พ.ย. | ยูโรโซน: เงินเฟ้อ (ต.ค.) อินเดีย: 3Q24 GDP growth แคนนาดา: 3Q24 GDP growth ไทย: รายงานเศรษฐกิจจากแบงก์ชาติ |
30 พ.ย. | จีน: NBS Manufacturing PMI (พ.ย.) |