บล.กสิกรไทย:

OSP : ก้าวเดินตามจังหวะของตัวเอง
  • OSP รายงานผลประกอบการไตรมาส 3/2567 โดยมีกำไรปกติที่ 503 ลบ. (ทรงตัว YoY และลดลง 43.9% QoQ) และผลขาดทุนสุทธิที่ 361 ลบ. ผลประกอบการไม่เป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้
  • การประชุมนักวิเคราะห์ เรามีมุมมองเป็นกลางหลังเข้าร่วมการประชุมนักวิเคราะห์ของ OSP เมื่อวันที่ 18 พ.ย. ผู้บริหารระบุว่าธุรกิจโดยรวมดำเนินไปด้วยดี ยกเว้นในส่วนของเครื่องดื่มชูกำลังซึ่งได้รับผลกระทบจากความล่าช้าในการดำเนินงานเนื่องจากน้ำท่วมในภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย ซึ่งคิดเป็นประมาณ 50% ของตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในประเทศไทย และ 60% ของยอดขายในช่องทางธุรกิจค้าปลีกดั้งเดิมของ OSP อย่างไรก็ตาม OSP คาดว่าผลการดำเนินงานจะฟื้นตัวในไตรมาส 4/2567 พร้อมกับมีกำไรพิเศษจำนวน 130 ลบ.จากการขายโรงงานผลิตแก้วในเมียนมาร์ ในอนาคต ผู้บริหารย้ำเป้าหมายการเติบโตของยอดขายในช่วงปี 2566-71 ด้วยอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) ที่ 9% ซึ่งบ่งชี้ถึงเป้าหมายการเติบโตในปี 2568 หนุนจาก
  • 1) การให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ในประเทศที่มีอัตรากำไรสูง
  • 2) การขยายการเข้าถึงตลาดสำหรับ M-150 รุ่น 10 บาท เพื่อลดการสูญเสียส่วนแบ่งตลาด
  • 3) การเติบโตของยอดขายต่างประเทศในอัตราสองหลักหลังจากการเจาะตลาดใหม่ เช่น เวียดนามและอินโดนีเซีย พร้อมด้วยต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง เช่น น้ำตาลและวัสดุบรรจุภัณฑ์ ในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 OSP มั่นใจว่าจะสามารถรักษาอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ได้ไม่น้อยกว่าระดับปี 2567
  • มุมมองของเรา เราเห็นด้วยกับ OSP ในกลยุทธ์ที่ปรับเปลี่ยนจากตลาดเครื่องดื่มชูกำลังที่มีการแข่งขันสูงและอัตรากำไรต่ำ โดย 1) มุ่งเน้นไปที่เครื่องดื่มชูกำลังระดับพรีเมียมที่มีอัตรากำไรสูง และ 2) การขยายตลาดไปยังต่างประเทศ เนื่องจากตลาดในประเทศไทยอยู่ในภาวะชะลอตัวและการเติบโตของการบริโภคมีจำกัด เราเชื่อว่าผู้ชนะที่แท้จริงคือผู้ที่นำเสนอผลิตภัณฑ์ในกลุ่มพรีเมียม ซึ่งช่วยผลักดันราคาเฉลี่ยในตลาดให้สูงขึ้น ในอดีต OSP ได้แสดงให้เห็นแล้วว่ากลยุทธ์นี้สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดี ได้แก่ 1) ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังโดยรวมเติบโตขึ้นหลังจาก OSP เปิดตัวผลิตภัณฑ์รุ่น 12 บาท (แผนภาพ 3) 2) กลุ่มเครื่องดื่มชูกำลังระดับพรีเมียมปัจจุบันมีสัดส่วนถึง 50% ของตลาดรวม และ 3) การปรับปรุงความสามารถในการทำกำไร (แผนภาพ 4, 6) เนื่องจากตลาดเครื่องดื่มชูกำลังในเวียดนามและอินโดนีเซียมีขนาดใหญ่กว่าตลาดในเมียนมาร์ถึง 6 เท่าและ 2 เท่าตามลำดับ ซึ่งเป็นประเทศส่งออกหลักของ OSP เราเชื่อว่า OSP ยังมีพื้นที่ในการเติบโตอีกมาก ดังนั้น แม้จะมีอุปสรรคระยะสั้นในไตรมาส 3/2567 เราเชื่อว่ากลยุทธ์ระยะยาวของ OSP ยังคงมีความเหมาะสม และเป้าหมายการเติบโตของยอดขายด้วย CAGR ระยะยาวยังคงเป็นไปได้ รวมถึงมีโอกาสในการขยายอัตรากำไรในอนาคต

แนะนำ “ซื้อ” ด้วย TP 29.10 บาท จาก

1) กลยุทธ์การยกระดับสินค้า

2) การขยายตลาดต่างประเทศ

3) ราคาวัตถุดิบที่ลดลง

4) สิ้นสุดระยะเวลาการขายสินทรัพย์

5) การประเมินมูลค่าที่ไม่แพง

- Advertisement -