บล.กสิกรไทย:
MEGA : ความเสี่ยงเกี่ยวกับการนำเข้าของเมียนมา
- รายงานงบการเงินไตรมาส 3/2567 โดยมีกำไรสุทธิที่ 383 ลบ. (-28.5% YoY และ -25.4% QoQ) สูงกว่าประมาณการของเรา 13.6% จากอัตราภาษีที่แท้จริงต่ำกว่าคาด
- การประชุมนักวิเคราะห์มีโทนเป็นกลาง MEGA คาดไทย อินโดนีเซีย และเวียดนามจะเป็นตลาดสำคัญ และยาแผนปัจจุบันและยาที่จำหน่ายหน้าเคาน์เตอร์จะเป็นปัจจัยกระตุ้นการเติบโต ขณะที่ยอดขายอาหารเสริมยังคงทรงตัว
- ธุรกิจ Maxxcare แม้ว่าจะมีความท้าทายอย่างมากในเมียนมา เนื่องจากเศรษฐกิจของประเทศมีปัญหาและค่าเงินที่อ่อนตัวลงอย่างมาก แต่ MEGA ยังแสดงความมั่นใจที่จะดำเนินธุรกิจในเมียนมาต่อไป โดยเฉพาะในแง่ของกำไร เนื่องจากยาถือเป็นสิ่งจำเป็น และด้วยการผลิตในประเทศที่มีอยู่อย่างจำกัด โดยมีสัดส่วนการบริโภคยาในประเทศเพียง 15% เท่านั้น เมียนมาจึงต้องพึ่งพาผู้เล่นต่างชาติ โดยเฉพาะผู้เล่นที่จำหน่ายยาสามัญในราคาไม่แพง เพื่อตอบสนองความต้องการที่เหลืออีก 85% ในทางกลับกัน สินค้าอุปโภคบริโภคซึ่งมีสัดส่วนประมาณ 20% ของยอดขาย Maxxcare ประสบปัญหา เนื่องจากผู้บริโภคมีอำนาจซื้อลดลง ผู้บริโภคหัดไปซื้อผลิตภัณฑ์ที่ผลิตภายในประเทศมากกว่า
- มุมมองของเรา เรายังคงมีมุมมองเชิงบวกต่อธุรกิจแบรนด์ของ MEGA เนื่องจากธุรกิจนี้ประสบความสำเร็จในการเปิดตัวยาสามัญตัวใหม่ และสามารถเจาะตลาดที่มีความต้องการยาราคาไม่แพงได้ แต่เรากังวลเกี่ยวกับแนวโน้มในเมียนมา หลังจากที่มีการเพิ่มกฎข้อบังคับในการนำเข้ายาสู่เมียนมา เนื่องจากประเทศกำลังเผชิญกับปัญหาขาดแคลนเงินดอลลาร์สหรัฐ
- ปรับประมาณการกำไร ท่ามกลางความเชื่อมั่นของผู้บริหารในการรับมือสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เราจึงปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2567-69 ลง -4.9%/-4.6%/-5.0% หลังจากที่เราปรับสมมติฐานรายได้ของ Maxxcare ปี 2567-69 ลง -6.8%/-7.7%/-10.4% เนื่องจากบริษัทฯ ได้รับผลกระทบจากปัญหาการนำเข้ายาสู่เมียนมา
แนะนำ “ซื้อ” และ TP ที่ 44.80 บาท ปัจจัยหนุนตัวคูณมูลค่าหุ้น ได้แก่
- 1) ธุรกิจที่มีแบรนด์แข็งแกร่ง
- 2) การขยายตัวของ GPM
- 3) มูลค่าหุ้นที่ไม่แพง
- 4) เงินบาทอ่อนค่า