KS Daily View 11.12.2024 >>> จีนจะสอบสวน NVIDIA เรื่องการผูกขาด /หุ้นไทยยังทรงตัว คาดกรอบ SET วันนี้ 1,440 – 1,470 แนะนำ CRC, TIDLOR

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดลบเล็กน้อย โดย S&P 500 ลดลง 0.30%, Nasdaq Composite ลดลง 0.25% และ Dow Jones ลดลง 0.35% เนื่องจากนักลงทุนระมัดระวังก่อนการเปิดเผยตัวเลขเงินเฟ้อค่ำวันนี้ที่จะส่งผลต่อการตัดสินใจของ Fed ในสัปดาห์หน้า ด้านหุ้นรายตัว Alphabet (Google) ปรับตัวขึ้นราว 6% จากการเปิดตัวชิปควอนตัม ขณะที่ Oracle ร่วงหนักหลังผลประกอบการต่ำกว่าคาด และกลุ่มชิปได้รับแรงกดดันจากการที่จีนสอบสวน Nvidia ฐานละเมิดกฎหมายต่อต้านการผูกขาด

ตลาดหุ้นไทยปิดวันจันทร์ที่ระดับ 1,447.53 จุด ปรับตัวลงเล็กน้อย 4.43 จุด หรือ -0.31% โดยมีการฟื้นตัวในช่วงท้าย หลังจีนประกาศเปลี่ยนแนวทางนโยบายการเงินจากระมัดระวังเป็นผ่อนคลายปานกลางครั้งแรกในรอบ 14 ปี และส่งสัญญาณใช้นโยบายการคลังแบบเชิงรุกมากขึ้น สำหรับรายละเอียดยังต้องรอเพิ่มเติมจากการประชุม Central Economic Work Conference ในช่วงปลายสัปดาห์ อย่างไรก็ตามยังมีกลุ่มหุ้นที่ปิดลบมากถึง 19 กลุ่ม นำโดยพลังงาน โรงพยาบาล และขนส่ง ในขณะที่มี DELTA และกลุ่มธนาคารที่คอยหนุนนำดัชนี นักลงทุนสถาบันยังซื้อสุทธิต่อที่ 1,275 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิที่ 1,748 ล้านบาท เราคาด SET น่าจะเคลื่อนไหว Sideway ในกรอบ 1,440 – 1,470 รอปัจจัยสำคัญอย่างตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ ที่จะรายงานค่ำวันนี้ โดยวันนี้แนะนำ CRC, TIDLOR

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

1.กระทรวงการคลังและธนาคารแห่งประเทศไทยเตรียมเปิดโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” เพื่อช่วยลูกหนี้ NPL ไม่เกิน 1 ปี จำนวน 2.3 ล้านราย วงเงินรวม 1.31 ล้านล้านบาท โดยจะพักดอกเบี้ย 3 ปี ครอบคลุม 3 กลุ่ม ได้แก่ หนี้บ้านไม่เกิน 3 ล้านบาท หนี้รถไม่เกิน 8 แสนบาท และหนี้ SMEs ไม่เกิน 3 ล้านบาท โดยรัฐบาลจะลดอัตราเงินนำส่งกองทุนฟื้นฟูฯ ของธนาคารพาณิชย์ลงครึ่งหนึ่งเหลือ 0.23% เพื่อนำมาช่วยจ่ายดอกเบี้ย

2.นายพิชัย นริพทะพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เตรียมเดินทางไปสหรัฐฯ เดือนกุมภาพันธ์ 2568 เพื่อเจรจาป้องกันการขึ้นภาษีสินค้าส่งออกไทย โดยเสนอลดภาษีเนื้อวัวและเพิ่มการนำเข้าข้าวโพดจากสหรัฐฯ พร้อมขอความร่วมมือจากสมาชิก AMCHAM ช่วยสนับสนุนการค้าและการลงทุนระหว่างสองประเทศ นอกจากนี้ ไทยจะเร่งผลักดัน FTA กับหลายประเทศ และเตรียมสร้าง Thailand Brand เพื่อรับรองคุณภาพสินค้าไทยในตลาดโลก

3.ไทยลงนามในพิธีสารการเจรจาทวิภาคีกับอุซเบกิสถาน เพื่อสนับสนุนการเข้าเป็นสมาชิก WTO ของอุซเบกิสถาน ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสการส่งออกสินค้าไทยผ่านการลดภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าอุตสาหกรรมและเกษตร โดยไทยเป็นประเทศที่ 22 จาก 33 ประเทศที่ลงนาม และอุซเบกิสถานตั้งเป้าเข้าร่วม WTO ในปี 2569 ปัจจุบันอุซเบกิสถานเป็นคู่ค้าอันดับ 2 ของไทยในเอเชียกลาง มีมูลค่าการค้ารวม 106.59 ล้านดอลลาร์ในปี 2566

4.ไทยและเยอรมนีลงนามต่ออายุแถลงการณ์ร่วมด้านการพัฒนาระบบราง โดยนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯ และ รมว.คมนาคม ร่วมกับเอกอัครราชทูตเยอรมนี เน้นย้ำความร่วมมือระยะยาวที่มีมากว่า 162 ปี โดยเฉพาะความเชี่ยวชาญของเยอรมนีในการพัฒนารถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน Airport Rail Link และ APM ซึ่งการต่ออายุครั้งนี้จะมีผล 2 ปี เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานระบบรางของไทยและส่งเสริมการขนส่งที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม

5.จีนส่งสัญญาณกระตุ้นเศรษฐกิจเชิงรุกในปี 2025 ท่ามกลางการกลับมาของทรัมป์ โดยคณะกรรมการโปลิตบูโรนำโดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ประกาศจะใช้นโยบายการเงิน “ผ่อนคลายปานกลาง” และนโยบายการคลัง “เชิงรุกมากขึ้น” ซึ่งเป็นภาษาที่ชัดเจนที่สุดในรอบทศวรรษ คาดว่าจะมีการลดดอกเบี้ยและเพิ่มการขาดดุลงบประมาณเกิน 3% เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจที่ชะลอตัว พร้อมรับมือกับสงครามการค้าที่อาจเกิดขึ้นหลังทรัมป์เข้ารับตำแหน่ง โดยเฉพาะการขู่เก็บภาษีนำเข้าจากจีน 60%

6.การส่งออกของจีนในเดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 6.7% แตะ 312 พันล้านดอลลาร์ โดยการส่งออกไปสหรัฐฯ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์ เนื่องจากบริษัทจีนเร่งส่งสินค้าก่อนทรัมป์กลับมาเป็นประธานาธิบดีและอาจขึ้นภาษีนำเข้า 10% ในวันที่ 20 มกราคม ขณะที่การนำเข้าลดลง 3.9% สะท้อนอุปสงค์ในประเทศที่อ่อนแอ ส่งผลให้จีนเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ 327 พันล้านดอลลาร์ในปีนี้

หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:

CRC : ราคาพื้นฐาน 39.00 บาท

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ CRC จากการ Grand Opening ของเซ็นทรัลชิดลมในวันที่ 12 ธันวาคมนี้ หลังการปรับปรุงครั้งใหญ่เพื่อยกระดับเป็นศูนย์รวมสินค้าแบรนด์เนม โดยการเปิดตัวนี้จะได้ประโยชน์จากช่วงไฮซีซันของธุรกิจแฟชั่นในไตรมาส 4/2567 และความต้องการจากนักท่องเที่ยวในช่วงปลายปี นอกจากนี้ บริษัทยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถในการควบคุมค่าใช้จ่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในส่วนของต้นทุนค่าเช่า ค่าสาธารณูปโภค และค่าใช้จ่ายดำเนินงานอื่นๆ คาดว่า CRC จะได้ประโยชน์จากแนวโน้มดอกเบี้ยขาลง เนื่องจากหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยถึง 90% เป็นอัตราลอยตัว ทั้งนี้มูลค่าหุ้นยังอยู่ในระดับที่ยังไม่แพงที่ Forward PE ปี 2568 ที่ 22 เท่า

TIDLOR : ราคาพื้นฐาน 23.00 บาท

เรามองว่า TIDLOR จะได้รับแรงหนุนด้านความเชื่อมั่นจากแนวโน้มการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ในวันที่ 18–19 ธันวาคม และทิศทางการลดดอกเบี้ยของธนาคารแห่งประเทศไทยในปี 2568 ที่อาจมีการปรับลดมากกว่าหนึ่งครั้ง เราคงมุมมองเชิงบวกต่อ TIDLOR โดยคาดว่าคุณภาพสินทรัพย์จะเริ่มปรับตัวดีขึ้นตั้งแต่ไตรมาส 4/2567 เป็นต้นไป หลังจากผู้บริหารแสดงความมั่นใจในความสามารถควบคุมคุณภาพสินทรัพย์และการจัดเก็บหนี้ที่ดีขึ้น ภายหลังการปรับปรุงงบดุลตั้งแต่ปี 2566 นอกจากนี้ เรามองว่า TIDLOR มีโอกาสลดอัตราส่วนค่าใช้จ่ายต่อรายได้ได้อีกในอนาคต ขณะที่มูลค่าหุ้นยังไม่แพง โดยมี Forward PE ปี 2568 ที่ประมาณ 10 เท่า

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันพุธติดตามตัวเลขเงินเฟ้อสหรัฐฯ (US CPI) เดือน พ.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 2.7% YoY เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 2.6% YoY ขณะที่ตัวเลขเงินเฟ้อไม่รวมราคาอาหารและพลังงาน (US Core CPI) ตลาดคาดที่ +3.3% YoY ทรงตัวจากเดือนก่อนหน้า และการประชุมธนาคารกลางแคนาดา (BOC Interest Rate Decision) ที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะปรับลดดอกเบี้ย 50 bps
  • วันพฤหัสฯ ติดตามการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB Interest Rate Decision) ที่ตลาดคาดการณ์ว่าจะปรับลดอัตราดอกเบี้ย 25 bps ต่อด้วยการรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (US PPI Index) ของสหรัฐฯ สำหรับเดือน พ.ย. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 2.40% YoY และการรายงานจำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (US Initial Jobless Claims) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.24 แสนตำแหน่ง
  • วันศุกร์ ติดตามดัชนีภาคการผลิตขนาดใหญ่จากการสำรวจ Tankan (ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ) ญี่ปุ่นในไตรมาส 4 ตลาดคาดการณ์ที่ 13 จุดทรงตัวจากครั้งก่อนหน้า และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมของฝั่งยุโรป (EU Industrial Production) เดือน ต.ค. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -2.8% YoY
- Advertisement -