KS Daily View 13.12.2024 >>> S&P 500 ปรับตัวลง 0.54% จากความกังวลเงินเฟ้อผู้ผลิต (PPI) ที่สูงกว่าคาด ทำให้ Bond Yield ปรับตัวขึ้น ส่วนตลาดหุ้นไทยแม้ DELTA ช่วยดัน แต่กลุ่มพลังงานกดดัน ทำให้ยังไม่ผ่านแนว 1,455 คาดวันนี้แกว่งตัวในกรอบ 1,430-1,455 จุด แนะนำ BCH, MOSHI
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลงทั้ง 3 ดัชนีหลัก โดย Dow Jones ลดลง 0.53%, S&P 500 ลดลง 0.54% และ Nasdaq Composite ลดลง 0.66% จากแรงกดดันของรายงานดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) ที่สูงกว่าคาดและแตะระดับสูงสุดในรอบ 1 ปีครึ่ง ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ อายุ 10 ปี เพิ่มขึ้น 5 bps แตะ 4.33% ท่ามกลางความกังวลว่าแรงกดดันด้านเงินเฟ้อที่ยังคงอยู่ แม้ตลาดยังคาดว่า Fed จะลดดอกเบี้ยลง 25 bps ในการประชุมสัปดาห์หน้า แต่อาจทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ต้องใช้ความระมัดระวังในการผ่อนคลายนโยบายการเงินในปีหน้า
ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,439.89 จุด ปรับตัวลดลงเล็กน้อยในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นเอเชียใต้ แม้ช่วงเช้าจะฟื้นตัวขึ้นทดสอบแนวต้านที่ 1,455 จุด แต่ไม่สามารถผ่านไปได้ การซื้อขายมีแรงขายกดดันในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมสำคัญ ทั้งพลังงาน อสังหาริมทรัพย์ สื่อสาร ค้าปลีก และโรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม DELTA ที่เพิ่งพ้นมาตรการ Cash Balance ช่วยพยุงดัชนีไว้ราว 4.5 จุด รวมถึงมีแรงซื้อในกลุ่มธนาคาร วัสดุก่อสร้าง และบรรจุภัณฑ์ ด้านนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิ 1,528 ล้านบาท ขณะที่นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 263 ล้านบาท ทั้งนี้จาก ECB ที่ลดดอกเบี้ยรวมถึงเงินเฟ้อผู้ผลิตสหรัฐฯ (PPI) ที่สูงกว่าคาดทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า และค่าเงินบาทอ่อนค่ามาในกรอบ 34.8 – 35 บาทต่อดอลลาร์ คาดตลาดแกว่งตัวในกรอบ 1,430-1,455 จุด แนะนำ BCH, MOSHI
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
- ธนาคารกลางในยุโรปเร่งปรับลดอัตราดอกเบี้ยเพื่อเตรียมรับมือผลกระทบจากการกลับมาของทรัมป์ในปี 2025 โดยธนาคารกลางสวิส (SNB) ประกาศลดดอกเบี้ยแรงถึง 50 bps เหลือ 0.5% ขณะที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ลดดอกเบี้ย 25 bps เหลือ 3% ซึ่งต่ำสุดในรอบ 1 ปีครึ่ง พร้อมปรับลดคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจปี 2025 เหลือ 1.1% จาก 1.3% ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับสงครามการค้า ความผันผวนของค่าเงิน และการเติบโตทางเศรษฐกิจที่อ่อนแอ โดยตลาดคาดว่า ECB จะลดดอกเบี้ยลงต่อเนื่องถึงระดับ 1.75% ในช่วงครึ่งหลังของปี 2025
- ตลาดแรงงานและเงินเฟ้อสหรัฐฯ ส่งสัญญาณผสม โดยตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์เพิ่มขึ้น 17,000 ราย สู่ระดับ 242,000 ราย ซึ่งสูงสุดในรอบ 2 เดือน สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดที่ 220,000 ราย ขณะที่ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนพฤศจิกายนเพิ่มขึ้น 0.4% จากเดือนก่อน และเพิ่มขึ้น 3% จากปีก่อน สูงกว่าคาดการณ์ที่ 0.2%
- การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) ลงนามสัญญาก่อสร้างรถไฟทางคู่ช่วงขอนแก่น-หนองคาย ระยะทาง 167 กม. มูลค่า 28,679 ล้านบาท กับกิจการร่วมค้า ช.ทวี-เอเอส ก่อสร้าง คาดเริ่มงานเมษายน 2568 และแล้วเสร็จปี 2571 โครงการประกอบด้วยสถานี 14 แห่ง ที่หยุดรถ 4 แห่ง และลานบรรทุกสินค้า 3 แห่ง เพื่อรองรับการเชื่อมต่อกับรถไฟความเร็วสูงไทย-ลาว-จีน โดย รฟท. จะเร่งเสนอโครงการทางคู่ระยะ 2 อีก 6 เส้นทาง มูลค่ารวม 285,446 ล้านบาท เข้า ครม. ในเดือนมกราคม 2568
- บอร์ดประกันสังคมมีมติสำคัญ 3 เรื่อง เริ่ม 1 มกราคม 2568 ได้แก่ 1) ปรับเพิ่มเงินทดแทนกรณีว่างงานจาก 50% เป็น 60% ของค่าจ้างรายวัน 2) ให้ผู้ประกันตนสามารถรักษามะเร็งได้ทุกโรงพยาบาลทั้งรัฐและเอกชนที่ทำความตกลงกับประกันสังคม โดยไม่จำกัดเฉพาะ รพ.ตามสิทธิ และ 3) การันตีจ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับโรคที่มีค่า AdjRW มากกว่า 2 ให้กับ รพ.คู่สัญญาในอัตรา 12,000 บาทต่อ AdjRW ตลอดปี
- จีนส่งสัญญาณเพิ่มการใช้จ่ายภาครัฐและกู้ยืมในปี 2025 โดยจะมุ่งเน้นกระตุ้นการบริโภคภายในประเทศเป็นลำดับแรก พร้อมเสริมสร้างระบบสวัสดิการสังคม ทั้งด้านสุขภาพและบำนาญ รวมถึงเตรียมเพิ่มสัดส่วนขาดดุลงบประมาณ ออกพันธบัตรระยะยาวพิเศษ และพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่น ท่ามกลางความท้าทายจากภาวะเงินฝืด ความเชื่อมั่นที่อ่อนแอ วิกฤตอสังหาริมทรัพย์ และความเสี่ยงสงครามการค้ากับสหรัฐฯ หลังทรัมป์ชนะเลือกตั้ง โดยนักวิเคราะห์คาดว่าจีนอาจเพิ่มสัดส่วนขาดดุลงบประมาณเป็น 4% ของ GDP สูงกว่าเพดานเดิมที่ 3%
- สหรัฐฯ ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์และโพลีซิลิคอนจากจีนเป็น 50% และผลิตภัณฑ์ทังสเตนเป็น 25% มีผลวันที่ 1 มกราคม 2025 โดยมีเป้าหมายเพื่อสนับสนุนอุตสาหกรรมในประเทศและตอบโต้นโยบายที่เป็นภัยของจีน ซึ่งก่อนหน้านี้สหรัฐฯ ได้เก็บภาษีนำเข้าแผงโซลาร์เซลล์จากมาเลเซีย กัมพูชา เวียดนาม และไทย 21-271% หลังพบการทุ่มตลาดจากบริษัทจีนที่ย้ายฐานการผลิตมายังประเทศเหล่านี
หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:
- BCH : ราคาพื้นฐาน 20.60 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อผลการประชุมคณะกรรมการประกันสังคมที่มีมติรับประกันการจ่ายค่ารักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงที่12,000 บาทต่อ RW ตลอดปี 2568 โดยกำหนดงบประมาณแบบปลายเปิด ส่งผลให้ในปี 2568 จะไม่มีความเสี่ยงด้านรายได้จากผู้ป่วยในของประกันสังคมในส่วนของการรักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูง แม้ว่าผลประกอบการในไตรมาส 4/2567 อาจได้รับผลกระทบจากการบันทึกค่ารักษาโรคที่มีค่าใช้จ่ายสูงสำหรับปี 2567 ที่ 7,200 บาทต่อ RW แต่เรามองว่าเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นสำหรับการลงทุนในปี 2568 นอกจากนี้ การอนุญาตให้ผู้ประกันตนสามารถเข้ารับการรักษามะเร็งที่โรงพยาบาลในระบบประกันสังคมใดก็ได้ จะช่วยกระตุ้นความต้องการใช้บริการของศูนย์รังสีรักษาเพิ่มขึ้นด้วย
- MOSHI : ราคาพื้นฐาน 53.60 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ MOSHI ในระยะยาวจากศักยภาพการขยายสาขาทั้งในห้างสรรพสินค้าที่ยังสามารถเพิ่มได้เกือบเท่าตัว และโอกาสการขยายในรูปแบบร้านค้าแบบสแตนด์อโลน โดยตั้งเป้าการเติบโตปี 2568 ที่ 15-20% พร้อมแผนขยาย 40 สาขา ในระยะสั้นคาดว่าผลประกอบการจะเติบโตเมื่อเทียบกับปีก่อนไปจนถึงครึ่งแรกของปี 2568 สะท้อนจากยอดขายสาขาเดิมตั้งแต่ต้นไตรมาส 4/2567 ที่เติบโต 26% ซึ่งแข็งแกร่งที่สุดในกลุ่มค้าปลีก ด้านมูลค่าหุ้นยังไม่แพงมากที่ Fwd PE’68 ประมาณ 26 เท่า พร้อมสถานะการเงินที่แข็งแกร่งและไม่มีภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ย นอกจากนี้ อัตรากำไรขั้นต้นมีโอกาสปรับตัวดีขึ้นจากการเพิ่มสัดส่วนสินค้านำเข้าจากระดับ 60% และการอ่อนค่าของเงินหยวนเทียบกับเงินบาท
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันศุกร์ ติดตามดัชนีภาคการผลิตขนาดใหญ่จากการสำรวจ Tankan (ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจ) ญี่ปุ่นในไตรมาส 4 ตลาดคาดการณ์ที่ 13 จุดทรงตัวจากครั้งก่อนหน้า และดัชนีผลผลิตอุตสาหกรรมของฝั่งยุโรป (EU Industrial Production) เดือน ต.ค. เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ -2.8% YoY