บล.กสิกรไทย:
อัปเดตเศรษฐกิจมหภาคทั่วโลก
- IMF คาดว่า GDP ในปี 2567 ของสหรัฐฯ จะเติบโตขึ้น 2.8%, ยุโรปที่ +0.8%, สหราชอาณาจักรที่ +1.1%, ญี่ปุ่นที่ +0.3%, จีนที่ +4.8%, อินเดียที่ +7%, ไทยที่ +2.8% และเวียดนามที่ +6.1% GDP ไตรมาส 3/2567 ของสหรัฐฯ เติบโตขึ้น 2.8% YoY, ยุโรปที่ +0.9%, สหราชอาณาจักรที่ +1.0%, ญี่ปุ่นที่ +0.3%, จีนที่ +4.6%, อินเดียที่ +5.4%, ไทยที่ +3.0% และเวียดนามที่ +7.4%
- PMI ภาคการผลิตทั่วโลกลดลงมาอยู่ระดับเฉลี่ยที่ 49.4 ในเดือนต.ค.2567 โดยของสหรัฐฯ อยู่ที่ 48.3, ยุโรปอยู่ที่ 46, ญี่ปุ่นอยู่ที่ 49.2 และสหราชอาณาจักรอยู่ที่ 49.9 อย่างไรก็ดี PMI ของจีน, อินเดีย, ไทยและเวียดนามอยู่ในโซนขยายตัวที่ 50.3, 57.5, 50 และ 51.2 ตามลำดับ
- เงินเฟ้อทั่วโลกกลับมามีแนวโน้มขาขึ้น อัตราเงินเฟ้อสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 2.6% ยุโรปอยู่ที่ 20%, สหราชอาณาจักรอยู่ที่ 2.3%, ญี่ปุ่นอยู่ที่ 2.3% และอินเดียอยู่ที่ 6.21% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อของจีนยังอยู่ระดับต่ำที่ 0.3% และของประเทศไทยอยู่ที่ 0.83%
- เมื่อวันที่ 7 พ.ย.2567 ธนาคารกลางสหรัฐฯ และอังกฤษต่างลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 25 bps หลังจากที่ธนาคารกลางสหรัฐฯ ลดดอกเบี้ยลง 50 bps ในเดือนก.ย.ที่ผ่านมา การประชุมครั้งสุดท้ายของปี 2568 ที่จะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 17-18 ธ.ค. ซึ่งจะมีการอัปเดต dot plot โดยตลาดคาดว่าจะมีการลดอัตราดอกเบี้ยน้อยลง ขณะเดียวกัน คาดว่าธนาคารกลางของหลายประเทศจะผ่อนคลายนโยบายอย่างต่อเนื่อง ส่วนธนาคารกลางญี่ปุ่นอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย
การประเมินมูลค่าตลาด
- ตลาดหุ้นทั่วโลก (MXACWI) ซื้อขายด้วย PER ล่วงหน้า 12 เดือนที่ 18.3 เท่า หรือ 1.4 SD มากกว่าระดับเฉลี่ยในอดีต ตลาดหุ้นเวียดนาม (VNIndex) ให้มูลค่าที่น่าสนใจมากที่สุดที่ -1.4SD ด้วย PER ที่ 9.8 ขณะที่ S&P500 มีมูลค่าแพงที่สุดที่ +1.8SD ด้วย PER ที่ 22.1 ในส่วนของ earnings yield gap (EYG) ด้าน SENSEX มีมูลค่าแพงที่สุดที่ -1.8% ขณะที่จีน MXCN และเวียดนามมี EYG สูงที่สุดอยู่ที่ 8.0% และ 7.4% ซึ่งทำให้น่าสนใจมากที่สุดเมื่อเทียบกับการลงทุนในตราสารหนี้
- เวียดนามน่าดึงดูดใจมากที่สุดด้วย PER ล่วงหน้าที่ -1.4SD และคาดการณ์การเติบโตของ EPS ปี 2568 ที่ 18.8% ตามมาด้วยอินนีเซีย อย่างไรก็ดี MSCI ACWI น่าสนใจน้อยด้วย PER ล่วงหน้าที่ +1.43SD และคาดการณ์การเติบโตของ EPS ในปี 2568 ที่ 13.4%
กองทุนลดหย่อนภาษีเด่นของ KS
- กองทุนลดหย่อนภาษีที่เป็นกองเด่นของ KS อิงจากความเสี่ยงของนักลงทุน เช่น แบบความเสี่ยงต่ำ(อนุรักษ์นิยม), ความเสี่ยงปานกลาง(สมดุล) และความเสี่ยงสูง (เติบโต)
- SSF: K-FIXDPLUS-SSF, K-GINCOME-SSF, K-USA-SSF และ K-VIETNAM-SSF
- RMF: KFIRMF, KGINCOMERMF, KGSELECTRMF, KINDIARMF และ KGIFRMF
- ThaiESG: K-ESGSI-ThaiESG, K-BL30-ThaiESG และ K-TNZ-ThaiESG
Monthly mutual fund recommendations
- ตราสารหนี้ เราแนะนำ K-APB-A สำหรับตราสารหนี้ตลาดเกิดใหม่ กองทุนเน้นลงทุนในตราสารหนี้เอเชียเป็นหลัก รวมถึงญี่ปุ่น ในสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐฯ อัตราผลตอบแทนมีความน่าสนใจและสูงกว่าตราสารหนี้ฝั่งตลาดพัฒนาแล้ว โดยมีอันดับความน่าเชื่อถือเฉลี่ยที่ BBB- อัตราผลตอบแทนปัจจุบันอยู่ที่ 6.44% ผลตอบแทนถึงวันครบอายุที่ 7.39% และอายุเฉลี่ยตราสารหนี้ในพอร์ตฯ 5.5 ปี
- หุ้นทั่วโลก เราชอบ K-GSELECT ซึ่งลงทุนใน JPMorgan Global Select Equity ETF กองทุนหลักมุ่งเน้นไปที่บริษัทที่มีคุณภาพการเติบโตของผลกำไรที่สูงและมีมูลค่าต่ำ พิจารณากลยุทธ์ “ซื้อเมื่อย่อตัวลงมา” เมื่อตลาดหุ้นปรับตัวลดลงมาอยู่ระดับเส้นค่าเฉลี่ย 50 วัน
- หุ้นตลาดเกิดใหม่ เราชอบ K-INDIA ซึ่งลงทุนใน Goldman Sachs India Equity ดัชนี Nifty 50 ลดลงมาประมาณ 10% เข้าสู่โซนขายมากเกินไป ตลาดรีบาวด์ขึ้นได้หลังจากแตะเส้นค่าเฉลี่ย 200 วัน สร้างโอกาสในการซื้อเก็งกำไรหรือลงทุนระยะยาว
- กอง REITs & Infrastructure เราชอบ K-GINFRA ซึ่งลงทุนในกองทุน Wellington Enduring Assets Fund กองทุนหลักลงทุนในบริษัททั่วโลกที่เป็นเจ้าของสินทรัพย์ที่มีอายุการใช้งานยาวนาน เช่น บริษัทด้านสาธารณูปโภค, ขนส่ง, พลังงาน, อสังหาริมทรัพย์และอุตสาหกรรม โดยคาดว่าสินทรัพย์เหล่านี้จะได้ประโยชน์จากวัฎจักรลดดอกเบี้ย