KS Daily View 20.12.2024 >>>ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทรงตัว แม้รีบาวด์ได้ในช่วงแรกแต่ยังยืนไม่ไหว หลัง Bond Yield สหรัฐฯ 10 ปี พุ่งแตะ 4.56% ด้านหุ้นไทยปรับตัวลงแรงปิดลบเกือบทุกกลุ่ม จากการที่ภายในยังขาดปัจจัยบวกใหม่ รวมถึงภายนอกภายนอกยังกดดันจากเฟด มองกรอบ SET ที่ 1,360-1,390

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดทรงตัว แม้จะมีแรงรีบาวด์ขึ้นอย่างแข็งแกร่งในช่วงเปิดตลาด โดยดัชนี S&P 500 ปิดลบเล็กน้อย 0.09% และ Nasdaq Composite ลดลง 0.10% ส่วนดัชนี Dow Jones ปิดบวก 0.04% ซึ่งเป็นการยุติการปรับตัวลงที่ยาวนานถึง 10 วันติดต่อกัน ตลาดยังคงถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ อายุ 10 ปีที่พุ่งขึ้นแตะระดับ 4.56% หลังจากธนาคารกลางสหรัฐฯ ส่งสัญญาณว่าจะดำเนินนโยบายการเงินที่เข้มงวดกว่าที่ตลาดคาดการณ์ไว้ อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง โดย GDP ไตรมาส 3/2024 ถูกปรับเพิ่มขึ้นเป็น 3.1% จากเดิม 2.8% โดยได้แรงหนุนจากการบริโภคที่เพิ่มขึ้นเป็น 3.7% จากเดิม 3.5%

ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลงแรงตามทิศทางตลาดหุ้นทั่วโลก หลังจากธนาคารกลางสหรัฐส่งสัญญาณว่าจะลดดอกเบี้ยในปี 2025 เพียง 2 ครั้งแทนที่จะเป็น 4 ครั้งตามที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้า ประกอบกับการที่ กนง. มีมติคงดอกเบี้ย ทำให้ไม่มีปัจจัยบวกใหม่มาหนุนตลาด ดัชนีปิดที่ 1,377.53 จุด ลดลงราว 21 จุด โดยมีหุ้นปิดลบเกือบทุกหมวดอุตสาหกรรมนำโดยสื่อสาร ค้าปลีก พลังงาน ขนส่ง การเงิน และหุ้น DELTA ในขณะที่มีกลุ่มบรรจุภัณฑ์ที่บวกสวนขึ้นมาได้ นักลงทุนต่างชาติมีสถานะซื้อสุทธิที่ 102 ล้านบาท นักลงทุนสถาบันยังมีสถานะขายสุทธิ 1,252 ล้านบาท คาดว่าตลาดจะยังมีแรงกดดันต่อเนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐอายุ 10 ปีที่พุ่งขึ้นมาที่ 4.56% และค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลงแตะ 34.6 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบการเคลื่อนไหววันนี้ที่ 1,360-1,390 จุด แนะนำ PR9, TASCO

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

  1. เศรษฐกิจสหรัฐฯ ขยายตัว 3.1% ในไตรมาส 3 สูงกว่าที่ประเมินไว้ก่อนหน้าที่ 2.8% โดยการบริโภคเพิ่มขึ้น 3.7% เร็วที่สุดตั้งแต่ต้นปี 2023 และการส่งออกก็เติบโตเร็วกว่าคาด สะท้อนเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งแม้ Fed จะส่งสัญญาณชะลอการลดดอกเบี้ยในปี 2025 ขณะที่ตัวเลขผู้ขอสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ลดลง 22,000 ราย เหลือ 220,000 ราย ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดที่ 230,000 ราย
  • กระทรวงการคลังเตรียมเสนอโครงการ Easy E-Receipt เข้า ครม. วันที่ 24 ธ.ค. 2567 เพื่อกระตุ้นการบริโภค โดยให้ลดหย่อนภาษีสูงสุด 50,000 บาท สำหรับการซื้อสินค้าและบริการจากร้านค้าที่ออกใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ผ่านระบบ e-Tax Invoice & e-Receipt เริ่มตั้งแต่ม.ค. 2568 ทั้งนี้ไม่รวมสินค้าบางประเภท เช่น สุรา ยาสูบ รถยนต์ น้ำมัน และค่าสาธารณูปโภค โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อจูงใจร้านค้าให้เข้าสู่ระบบภาษีอิเล็กทรอนิกส์ของกรมสรรพากร
  • กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมเตรียมแก้ไข พ.ร.ก.ไซเบอร์ ให้ธนาคารและผู้ให้บริการมือถือต้องร่วมรับผิดชอบกรณีลูกค้าถูกหลอกโอนเงิน โดยจะบังคับให้จ่ายเงินคืนผู้เสียหายหากไม่ปฏิบัติตามมาตรการป้องกัน และตั้งแต่ 1 ม.ค. 2568 จะกำหนดให้ผู้ส่ง SMS ที่แนบลิงก์ต้องลงทะเบียนและแจ้งสถานะ มิฉะนั้นจะถูกระงับการส่ง ขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสำนักงานกฤษฎีกา
  • กระทรวงการคลังมอบหมายให้กรมสรรพากรศึกษาการปฏิรูประบบภาษี เนื่องจากสัดส่วนรายได้ภาษีต่อ GDP ของไทยอยู่ที่ 16.7% ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยภูมิภาคที่ 19.3% และ OECD ที่ 34% โดยตั้งเป้าเพิ่มสัดส่วนให้ไม่ต่ำกว่า 20% เพื่อรองรับรายจ่ายที่เพิ่มขึ้นจากการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและสังคมผู้สูงวัย พร้อมเน้นใช้เทคโนโลยีดิจิทัลลดช่องว่างทางภาษีและปรับปรุงระบบการคืนภาษี
  • ธนาคารอาคารสงเคราะห์ (ธอส.) เตรียมสนับสนุนโครงการ “บ้านเพื่อคนไทย” ในปี 2568 โดยจะปล่อยสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำ 3-4% ต่อปี ระยะเวลากู้ 30+30 ปี ให้ผู้มีรายได้น้อยและผู้เริ่มทำงานผ่อนเดือนละ 4,000 บาท สำหรับผลการดำเนินงานปี 2567 คาดปล่อยสินเชื่อใหม่ 230,000 ล้านบาท และตั้งเป้าปี 2568 ที่ 240,000-250,000 ล้านบาท เติบโต 3% นอกจากนี้ยังร่วมโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” ช่วยลูกหนี้ 349,000 บัญชี คาดลด NPL เหลือ 5% ในปีหน้า
  • ธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) มีมติ 6-3 คงดอกเบี้ยที่ 4.75% โดยมีความเห็นแตกแยกมากกว่าที่นักเศรษฐศาสตร์คาด ซึ่งรองผู้ว่าการ เดฟ แรมส์เดน และสมาชิกใหม่ อลัน เทย์เลอร์ ร่วมกับ สวาติ ดิงกรา ลงมติให้ลดดอกเบี้ย 25 bps ผู้ว่าการ แอนดรูว์ เบลีย์ ระบุว่ายังต้องใช้แนวทางค่อยเป็นค่อยไปในการปรับลดดอกเบี้ย เนื่องจากเศรษฐกิจชะลอตัวแต่ยังมีแรงกดดันเงินเฟ้อ โดยตลาดคาดว่ามีโอกาส 45% ที่จะลดดอกเบี้ยในเดือนกุมภาพันธ์

หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:

  • PR9: ราคาพื้นฐาน 28.50 บาท

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ PR9 จากความสำเร็จในการทำการตลาดผ่านความร่วมมือกับสถานทูตต่างๆ ส่งผลให้รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติเติบโตอย่างแข็งแกร่ง โดยคาดว่าในปี 2568 จะมีโอกาสขยายฐานผู้ป่วยเพิ่มเติมนอกเหนือจากกลุ่มตะวันออกกลาง ไปยังกลุ่มประเทศ CLMV และจีน อีกทั้งมีโอกาสได้รับผู้ป่วยคูเวตในระบบ GOP เพิ่มขึ้นซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกเพิ่มเติม นอกจากนี้ PR9 มีโอกาสพัฒนาอัตรากำไรขั้นต้นได้อย่างต่อเนื่องจากการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยต่างชาติ เนื่องจากผู้ป่วยกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เน้นการรักษาโรคที่มีความซับซ้อนและมีค่าใช้จ่ายต่อบิลสูงกว่าผู้ป่วยไทยอย่างมีนัยสำคัญ โดยมูลค่าหุ้นยังอยู่ในระดับที่น่าสนใจเมื่อเทียบกับศักยภาพการเติบโตในอนาคต

  • TASCO: ราคาพื้นฐาน 21.00 บาท

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ TASCO จากสองปัจจัยสำคัญ ประการแรก คาดว่าความต้องการใช้ยางมะตอยในประเทศจะแข็งแกร่งไปจนถึงอย่างน้อยไตรมาส 2/2568 เนื่องจากการเบิกจ่ายภาครัฐที่เป็นไปอย่างราบรื่นและการเพิ่มงบประมาณของกรมทางหลวงและกรมทางหลวงชนบทในปีงบประมาณ 2024/25 โดยอุปสงค์ที่แข็งแกร่งนี้จะช่วยให้สามารถรักษาระดับราคาขายที่สูงได้อย่างต่อเนื่อง ประการที่สอง คาดว่าส่วนต่างกำไรของ TASCO จะปรับตัวดีขึ้นจากต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลง ทั้งจากราคาน้ำมันที่คาดว่าจะมีโอกาสลดลงมากกว่าเพิ่มขึ้น และการนำเข้า Feedstock อย่างน้อย 2 Cargo ในปี 2568 เพื่อกลั่นและขายเอง ซึ่งคาดว่าจะให้อัตรากำไรที่ดีกว่าการซื้อมาขายไป นอกจากนี้ยังมีอัตราเงินปันผลที่สูงถึง 5% ช่วยเสริมความน่าสนใจในการลงทุน

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันศุกร์ ติดตามตัวเลขเงินเฟ้อของญี่ปุ่น (Japan CPI) เดือน พ.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 2.9% YoY เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 2.3% YoY ขณะที่ฝั่งของตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีการรายงานดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคพื้นฐานส่วนบุคคล (US Core PCE Price Index) ตลาดคาดที่ 2.9% YoY ปรับตัวขึ้นจาก 2.8% YoY ในเดือนก่อนหน้า

*ข้อมูลสามารถเปลี่ยนแปลงได้ตามข้อมูลใหม่และแหล่งที่มาที่แตกต่างกัน

- Advertisement -