บล.กสิกรไทย:
กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง : ผลกระทบการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
- เหตุการณ์ใหม่ คณะกรรมการค่าจ้างของกระทรวงแรงงาน (คณะกรรมการชุดที่ 22) มีมติปรับเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำในปี 2568 ขึ้น 7-55 บาท/วัน หรือเฉลี่ยที่ 2.9% การเปลี่ยนแปลงที่สำคัญรวมถึงค่าแรงขั้นต่ำที่ 400 บาท/วัน ที่จ.ภูเก็ต, ฉะเชิงเทรา, ชลบุรี, ระยองและเกาะสมุย 380 วัน/วัน ที่จ.เชียงใหม่และหาดใหญ่ 372 บาท/วัน ที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลอีก 6 จังหวัด ขณะที่เพิ่มค่าแรงขึ้น 2% ในอีก 67 จังหวัดที่เหลือ การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จะเริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค.2568 เป็นต้นไป โดยแนวนโยบายของรัฐบาลชุดปัจจุบันตั้งเป้าจะปรับค่าแรงขั้นต่ำเป็น 600 บาท/วัน ในปี 2570
- การวิเคราะห์ เราเชื่อว่าผู้รับเหมาที่ใช้ระยะเวลาก่อสร้างนานที่สุดและมีมูลค่า backlog ปัจจุบันสูงที่สุดจะได้รับผลกระทบมากที่สุดจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเนื่องจากคาดว่าเจ้าของโครงการยังไม่รวมการปรับขึ้นค่าแรงในยอด backlog ปัจจุบัน ในกลุ่มบริษัทรับเหมาที่เราวิเคราะห์อยู่ CK มียอด backlog ที่นานและสูงที่สุด ตามมาด้วย STECON, SEAFCO และ PYLON หากเรามองข้ามกลยุทธ์การส่งผ่านต้นทุนผู้รับเหมาทุกรายต่อการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ การวิเคราะห์ความอ่อนไหวของเราพบว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำทุก 1% จะส่งผลกระทบเชิงลบต่อกำไรปกติปี 2568 ของ CK/STECON/SEAFCO/PYLON ที่ 2.09%/5.8%/1.59%/1.52% ตามลำดับ
- มุมมองของเรา เรามองว่าข่าวการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อราคาหุ้นของกลุ่มผู้รับเหมาแต่ส่งผลกระทบจำกัดต่อกำไร อย่างไรก็ดี เราพบว่าการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำในอดีตไม่ส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไรของกลุ่มผู้รับเหมา ผู้รับเหมาส่วนใหญ่บอกกับเราว่าค่าแรงของพวกเขานั้นสูงกว่าค่าแรงขั้นต่ำมากแล้วและพวกเขารวมค่าแรงขั้นต่ำที่คาดจะมีการปรับเพิ่มขึ้นในการประมูลโครงการแล้วเห็นได้จากการวิเคราะห์ของเราที่เราวิเคราะห์ถึงการขั้นค่าแรงขั้นต่ำในอดีตตั้งแต่ปี 2555 เทียบกับ GPM ของหุ้นในกลุ่มก่อสร้างที่เราวิเคราะห์อยู่ซึ่งผลที่ได้คือเราไม่เห็นความสัมพันธ์ใดๆ ที่เกี่ยวข้องกันระหว่างปัจจัยดังกล่าว
- มุมมองบวก เราคงมุมมองบวกต่อกลุ่มบริการก่อสร้างจากการประมูลโครงการเมกาโปรเจ็กต์ที่กำลังจะเกิดขึ้น งบประมาณของกระทรวงคมนาคมที่เพิ่มขึ้นและการเบิกจ่ายงบประมาณที่คาดจะเร็วขึ้น สำหรับในปี 2568 เราคาดว่าโครงการเมกาโปรเจ็กต์ส่วนใหญ่จะมาจากภาครัฐ
หุ้นเด่น
- CK “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 27.30 บาท
- SEAFCO “ซื้อ” ราคาเป้าหมายที่ 2.85 บาท