Daily Focus: ขยับขึ้นเล็กน้อยตามภูมิภาค
2025 SET Target: 1600
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปิดบวกต่อเนื่องอีกเล็กน้อย 3.66 จุด โดยปิดที่ 1,401.46 จุด มูลค่าการซื้อขายเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้าเล็กน้อย เพราะหลายตลาดกลับมาเปิดเทรดแต่ยังคงเบาบาง 3 หมื่นลบ. บรรยากาศยังคงเงียบเหงา ไม่มีใหม่ในตลาด สถาบันในประเทศพลิกมาซื้อสุทธิในตลาดหุ้น 1.45 พันลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิบางๆ 333 ลบ. (และ Long Index Futures 2.67 หมื่นสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index ยังคงแกว่ง Sideways รอปัจจัยใหม่ มีโอกาสบวกเล็กน้อยตามเพื่อนบ้านแต่โดยรวมไม่มีนัยยะเพราะคาบเกี่ยวช่วงวันหยุด ประกอบกับนักลงทุนทั่วโลกต่างจับตาการเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของทรัมป์ในวันที่ 20 ม.ค. 2025 ว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจและเงินเฟ้ออย่างไร แม้ว่า SET มักจะ rally ในเดือน ม.ค.แต่คาดว่า upside จำกัดเช่นกันเ พราะประเด็นภาษีการค้าของทรัมป์ สำหรับปัจจัยในประเทศในเดือน ม.ค. 2025 LTF/RMF ที่ครบกำหนดขายได้ในปี 2025 มีจำนวนราว 7.4 หมื่นลบ. แต่อาจไม่น่ากังวลนักเพราะดัชนีปี 2019 เฉลี่ยอยู่ที่ระดับสูงถึง 1600 จุด ส่วนมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทั้งการแจกเงินหมื่น Easy e-Receipt รวมถึงการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำเป็นปัจจัยบวกสำหรับกลุ่ม Domestic plays ซึ่งเชื่อว่ายังเป็นหนึ่งในกลุ่มที่น่าลงทุนในปี 2025 แนวต้านสำคัญระยะสั้นของ SET อยู่ที่ 1,410 จุด หากสามารถกลับมายืนเหนือได้จะทำให้โมเมนตัมลบที่เกิดขึ้นในช่วงก่อนหน้าถูกลบล้างไปได้ ส่วนภาพระยะกลาง-ยาว หากเศรษฐกิจไทยและกำไรบจ.ยังสามารถฟื้นตัวได้ตามคาด ในเชิง Valuation ระยะกลาง-ยาว เรายังมองว่าน่าสนใจ โดยเทรด PER ต่ำเพียง 14.3 เท่าและให้ Earnings Yield Gap ราว 4.74%
กลยุทธ์ : เน้น Domestic Play ที่มีแนวโน้มกำไร 4Q24-2025 แข็งแกร่ง // ส่วนที่สะสมในช่วงก่อนหน้ายังถือลงทุนระยะกลาง-ยาว
หุ้นเด่นเดือน ธ.ค. : AAV, BDMS, CPALL, MAGURO, RBF
FSSIA Portfolio: BA, CHG, CPALL, KTB, MTC, NSL, RBF, SEAFCO, SHR, WHA
หุ้นเด่น Finansia 30 ธ.ค. 24 : NSL
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 43 บาท
- โมเมนตัมกำไร 4Q24 แข็งแกร่งต่อเนื่อง เราคาดเติบโตทั้ง q-q, y-y และสามารถทำ new high จากปัจจัยฤดูกาล และสินค้าใหม่ๆได้รับการตอบรับดี เช่น ชHอคโกแลตดูไบของ Bake a Wish ขณะที่บ.ลูกทยอยขาดทุนลดลง
- เราคาดกำไรปี 2024 +57% y-y เป็น 523 ลบ. และปี 2025 +13% y-y เป็น 591 ลบ. ปัจจุบันยังมี 2025E P/E เพียง 16 เท่า ต่ำกว่ากลุ่มที่ >20 เท่า
- แนวรับ 31.25//30 บาท แนวต้าน 33//34 บาท
Fund Flow : วันศุกร์ที่ผ่านมากระแสเงินทุนยังคงไหลเข้าภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 5 แต่ปริมาณเบาบางลงมากเหลือเพียง US$54 ล้าน ยังคงกระจุกตัวที่ไต้หวัน US$122 ล้าน และไหลออกจากเกาหลีใต้ US$135 ล้าน ส่วนอาเซียนเม็ดเงินไหลเข้าอินโดนีเซีย US$47 ล้าน แต่ไหลออกจากไทยและฟิลิปปินส์ตลาดละ US$2 ล้าน แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดว่ายังคงเบาบางต่อเนื่องเนื่องจากเป็นเทศกาลวันหยุดปีใหม่
ประเด็นสำคัญวันนี้
(-) เศรษฐกิจไทยเดือน พ.ย. 2024 ธปท. รายงานเศรษฐกิจเดือนพ.ย. 2024 ชะลอตัวจากเดือนก่อน จากการบริโภคภาคเอกชนลดลง หลังจบมาตรการเงินโอนภาครัฐ การผลิต อุตสาหกรรมยังอยู่ในระดับต่ำและลดลงจากเดือนก่อนขณะที่ภาคบริการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยวยังขยายตัวได้ และการส่งออกสินค้าเพิ่มขึ้นจากหมวดสินค้าเกษตร ด้านเสถียรภาพเศรษฐกิจ อัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้นจากเดือนก่อนตามหมวดพลังงงานและฐานต่ำปีก่อน ตลาดแรงงานทรงตัว ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเพิ่มขึ้นตามดุลบริการ หลายสำนักวิจัยเศรษฐกิจมองแนวโน้มดอกเบี้ยนโยบายมีโอกาสที่จะปรับลดลงราว 1-3 ครั้งใน ปี 2025 เพื่อพยุงเศรษฐกิจและอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำกว่ากรอบเป้าหมาย
(0) BAM บริษัท Arun AMC ได้รับอนุมัติ License ประกอบธุรกิจ AMC จาก ธปท. แล้วเมื่อ 19 ธ.ค. 2024 โดยบริษัทมีทุนจดทะเบียน 1 พันลบ. จากสัดส่วนถือหุ้นที่ 50:50 เท่ากัน ระหว่าง BAM และ KBANK เน้นการบริหาร NPL ที่มีหลักประกัน รับโอนจาก KBANK เบื้องต้นคาดจะเป็นผลบวกต่อ BAM จากรายได้ค่าธรรมเนียมรับบริหารหนี้ และ ส่วนแบ่งผลกำไรจาก JV ส่งผลให้มี upside ต่อประมาณการกำไรสุทธิปี 2025-26 ราว 1-3% อย่างไรก็ดีเรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 +19% y-y และราคาเป้าหมาย 9 บาท คงคำแนะนำ “ถือ”
(0) หุ้นเข้า-ออก SET50/100 งวด 1H25 SET50 หุ้นเข้า BANPU SAWAD COM7 CCET หุ้นออก TIDLOR CENTEL BOP EA ส่วน SET100 หุ้นเข้า CCET JTS COCOCO PR9 หุ้นออก MBK TOA TIPH RBF
(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 333.59 จุด หรือ -0.77%, ปิดที่ 42,992.21 จุด ปิดลบในวันศุกร์ (27 ธ.ค.) ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปรับตัวลงด้วยเนื่องจากมีแรงเทขายทำกำไรอย่างมากในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและหุ้นเติบโตที่หนุนตลาดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา
(+) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดบวกในวันศุกร์ (27 ธ.ค.) และปรับตัวขึ้นรายสัปดาห์เป็นครั้งแรกในรอบ 3 สัปดาห์ โดยได้แรงหนุนจากการปรับตัวขึ้นของหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์และกลุ่มการเงิน
(-) ตลาดหุ้นเอเชีย ส่วนใหญ่เปิดลบ ตามทิศทางของตลาดสหรัฐฯ ในวันศุกร์ (27 ธ.ค.)
(+) ค่าเงินบาท แข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 34.09 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ -0.20%
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 98 เซนต์ หรือ 1.4% ปิดที่ระดับ 70.60 ดอลลาร์/บาร์เรล ในวันศุกร์ (27 ธ.ค.) ปิดบวกในรอบสัปดาห์ แม้ปริมาณการซื้อขายเบาบางในช่วงใกล้สิ้นปี โดยตลาดได้แรงหนุนจากปริมาณสต็อกน้ำมันดิบของสหรัฐฯ ที่ลดลงมากกว่าที่คาดไว้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 70.47 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.18%
(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 22.00 ดอลลาร์ หรือ 0.8% ปิดที่ 2,631.90 ดอลลาร์/ออนซ์ ปิดลบในวันศุกร์ (27 ธ.ค.) เนื่องจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตร รัฐบาลสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นได้ลดความน่าสนใจของทองคำซึ่งไม่มีผลตอบแทนในรูป อัตราดอกเบี้ย ขณะที่ตลาดมุ่งความสนใจไปที่การกลับเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีของโดนัลด์ ทรัมป์ และผลกระทบที่นโยบายก่อเงินเฟ้อของเขาจะมีต่อแนวโน้มการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ในปี 2568 ในขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 2,636.30 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ 0.17%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 872.50/ -0.03%
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
30 ธ.ค. | สหรัฐ: ยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขาย (พ.ย.) |
31 ธ.ค. | จีน: NBS Manufacturing (ธ.ค.) |
2 ม.ค. | จีน: Caixin Manufacturing PMI (ธ.ค.) |
3 ม.ค. | สหรัฐ: ISM Manufacturing PMI (ธ.ค.) |
6 ม.ค. | ไทย: เงินเฟ้อ (ธ.ค.) |